• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 13 ธันวาคม 2562

    13 ธันวาคม 2562 | SET News

· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน เนื่องจากรายงานข่าววงในเผยว่าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เข้าใกล้ข้อตกลงในเฟสแรกร่วมกันได้ รวมทั้งการที่พรรคอนุรักษ์นิยมสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งอังกฤษมาได้ จึงผ่อนคลายความกังวลลงไป

สำหรับเหตุการณ์ทั้งสองลดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลและเงินเยน รวมทั้งโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 1.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับสูงขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน ท่ามกลางแรงหนุนจากกลุ่มหุ้นราคาถูกอย่างธนาคารและผู้ผลิตเหล็ก ท่ามกลางความหวังว่าข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

โดยดัชนี Nikkei ปิด +2.55% ที่ระดับ 24,023.10 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของเดือน ต.ค. ปีก่อน และปรับขึ้นด้วยอัตราที่มากที่สุดในรอบ 10 เดือน

นอกจากนี้ดัชนี Nikkei ได้ยืนเหนือแนวต้านสำคัญที่ 23,600 จุด จึงมีเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 24,448 จุดซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 27 ปีและเคยขึ้นไปได้เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ปีก่อน

· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูงขึ้นตามหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชีย โดยดัชนี Shanghai composite ปิด +1.78% ที่ระดับ 2,967.68 จุด ส่วนดัชนี Shenzhen component ปิด +1.71% ที่ระดับ 10,004.62 จุด และดัชนี Shenzhen composite ปิด +1.48% ที่ระดับ 1,660.55 จุด

· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น หลังจากแหล่งข่าววงในที่ระบุว่า สหรัฐฯใกล้บรรลุข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกกับจีน ขณะที่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และพรรคอนัรักษ์นิยมของเขา สามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้ด้วยเสียงข้างมากที่ล้นหลามถึง 74 ที่นั่ง

ด้านดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 1.5% ขณะที่หุ้นภาคธนาคารเพิ่มขึ้น 3.6% เนื่องจากตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก

อ้างอิงจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

- นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเดินทางตรวจเยี่ยมกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ว่า ตนได้มอบนโยบายให้กรมเจรจาฯ เร่งรัดจัดทำ ความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าเพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนของไทย ทั้งผ่านการจัดประชุมคณะกรรมการการค้า (เจทีซี) เร่งหาข้อสรุปการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ยังค้างอยู่และเปิดเจรจาเอฟทีเอใหม่ๆ คู่ขนานไปกับการลงพื้นที่สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ เรื่องความตกลงเอฟทีเอ และการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ

อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นายอุตตม กล่าวถึกรณีที่นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) มองว่า นโยบายการแจกเงินเป็นเพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไม่ก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และไม่สามารถก่อให้เกิดการลงทุนในภาคเอกชนได้นั้น นายอุตตม กล่าวว่า ในเรื่องการลงทุนเป็นสิ่งจำเป็นที่รัฐบาลต้องดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้พยายามเร่งเดินหน้าและผลักดันโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) แต่ขณะเดียวกัน การดูแลเศรษฐกิจในระยะสั้นก็มีความจำเป็น ซึ่งรัฐบาลต้องการให้ในประเทศมีเม็ดเงินหมุนเวียนจากการจับจ่ายใช้สอย และการบริโภคภายประเทศ เพราะหากไม่มีในส่วนนี้ เศรษฐกิจก็จะไม่เกิดการหมุนเวียน

อ้างอิงข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ

- นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)(BAY) เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าเงินบาทในปี2563 จะยังอยู่ในทิศทางแข็งค่า แต่แข็งค่าชะลอลงจาก สิ้นปีนี้ที่คาดว่าอยู่ที่ระดับ 30.40บาทต่อดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 29.25- 31.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งมีโอกาสแข็งค่าสูงสุดในไตรมาส 4 ปี2563 ที่ระดับ 29.25 บาทต่อดอลลาร์

" ปีหน้าเป็นปีชวดที่ไม่ชวด เงินบาทจะชะลอแข็งค่า ใกล้เคียงกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค จากคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะชะลอการปรับลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง ในปีหน้า จากปีนี้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยไป 3 ครั้ง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และทำให้ค่าเงินสกุลอื่นๆแข็งค่าขึ้น"

ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะเกินดุลลดลงหรือไม่ การดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อนหน้านี้ส่งสัญญาณว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน และเงินบาทกำลังจะเปลี่ยนทิศ การนำเข้าและส่งออกทองคำ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่คาดว่าจะยืดเยื้อถึงปีหน้า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย. 2563 รวมทั้งรอยต่อการที่สหราชอาณาจักรจะออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ สำหรับวาระปี 2563-2568 ซึ่งจะมีผลต่อการทำนโยบายการเงินของไทยด้วย

ด้านอัตราดอกเบี้ยของไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ตลอดปี 2563 แต่หากจะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อว่ามีโอกาสลดได้ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงไตรมาส1 ปี2563 เนื่องจากประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ยค่อนข้างมีจำกัด แต่เชื่อว่า ธปท. ได้เตรียมมาตรการอื่นๆเพิ่มเติมที่จะดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้ายไว้แล้ว ซึ่งเมื่อถึงเวลาจะถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสม

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก มองว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และมีแนวโน้มที่เงินทุนจะไหลเข้าไทย จากปีนี้ที่เป็นการไหลออกสุทธิทั้งในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ ส่วนเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะเติบโต 2.4% และขยายตัวได้ 2.5% ในปี 2563

อ้างอิงจากอีไฟแนนซ์ไทย

- BBL ปิดดีลซื้อหุ้น 89.12% ธนาคารเพอร์มาตา ในอินโดนีเซีย เป็นมูลค่ารวม 8.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ยันไม่ต้องเพิ่มทุนใช้ซื้อหุ้นครั้งนี้ คาดซื้อหุ้นแล้วเสร็จปี 63 ก่อนซื้อส่วนที่เหลือจากผู้ลงทุนรายย่อย ชี้ช่วยเข้าถึงตลาดอินโดนีเซียที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่สุดในอาเซียน ดัน EPS เพิ่มขึ้นทันทีในปี 63

การเข้าซื้อกิจการของเพอร์มาตาครั้งนี้ทำให้ธนาคาร เข้าถึงตลาดอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ธนาคารสามารถสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น จากการรวมกันทางธุรกิจและการเงินภายในภูมิภาคอาเซียน ท าให้ธนาคารสามารถเข้าถึงตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงได้มากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้ น (EPS) และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของธนาคารได้ทันที (ในปีงบการเงิน 2563 หากธุรกรรมแล้วเสร็จภายในปี 2563) และเป็นที่คาดการณ์ว่าจำนวนเงินกองทุนของธนาคารภายหลังการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะยังคงแข็งแกร่งต่อไป

- BBL มั่นใจซื้อแบงก์เพอร์มาตาในอินโดนีเซีย คุ้มค่าลงทุน เหตุธุรกิจธนาคารในอินโดนีเซียมีการเติบโตที่น่าสนใจ ช่วยเป็นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งได้ ยืนยันดีลนี้ไม่กระทบผลการดำเนินงาน-การจ่ายปันผล แย้มไม่ปิดโอกาสซื้อแบงก์ในไทยเพิ่ม หลังตุนกำไรสะสมเพียบ

การรวมกันระหว่างสองธนาคาร ก่อให้เกิดการประสานพลังความร่วมมืออย่างชัดเจน ด้วยการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายต่างประเทศที่ครอบคลุมอย่างกว้างขวางของธนาคารกรุงเทพในเอเชีย และความสามารถในการเชื่อมโยงเครือข่ายต่างประเทศ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ลูกค้าของเพอร์มาตาสามารถเข้าถึงตลาดสำคัญทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อพร้อมรับการเชื่อมโยงระหว่างประเทศในอาเซียน และกับภูมิภาคจีนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งว่า แอสทร่าจะยังคงความเป็นพันธมิตรในการทำธุรกิจและให้การสนับสนุนร่วมกับเพอร์มาตาต่อไป”

ทั้งนี้ มอร์แกน สแตนลีย์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของธนาคารกรุงเทพในการทำธุรกรรมครั้งนี้

· นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก หรือดับบลิวทีโอ เปิดเผยว่า มีความกังวลปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยปรับตัวสูงและส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชน ดังนั้นนโยบายการเงินในเรื่องของการลดอัตราดอกเบี้ยยังเห็นว่าในปีหน้าไม่ควรที่จะปรับลดดอกเบี้ยลง แต่นโยบายต้องพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยให้มาอยู่ในอัตราเดิม เพื่อศักยภาพในการแข่งขัน และกระตุ้นให้ประชาชนออมมากขึ้น

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com