• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562

    28 พฤศจิกายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินเยนแข็งค่า ขณะที่ค่าเงินที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงอ่อนค่า หลังประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในร่างกฏหมายสนับสนุนการประท้วงในฮ่อง จึงสร้างความกังวลว่าอาจกดดันการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน

นักวิเคราะห์จาก Daiwa Securities มีมุมมองว่า ค่าเงินเยนมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าต่อ เนื่องจากการตั้งคำสั่งซื้อขายของนักลงทุนในตลาด ขณะที่การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์น่าจะถูกจำกัด เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ออกมาสดใส

ทั้งนี้ ค่าเงินเยนแข็งค่า 0.12% แถว 109.42 เยน/ดอลลาร์ ฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ลงไปหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯบ่งชี้ถึงการเติบโตในไตรมาสที่ 3/2019 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด

ด้านค่าเงินหยวนนอกประเทศอ่อนค่า 0.18% แถว 7.0269 หยวน/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินหยวนในประเทศทรงตัวแถว 7.0280 หยวน/ดอลลาร์

· กระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวประณามสหรัฐฯ หลังทรัมป์ลงนามร่างกฏหมายสนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกง โดยระบุว่า สหรัฐฯกำลังมี “จุดมุ่งหมายที่ไม่น่าไว้วางใจ” และร่างกฏหมายจะส่งข้อความที่ผิดๆให้กับผู้ประท้วงในฮ่องกง จึงไม่สามารถช่วยคลี่คลายปัญหาในฮ่องกงได้แต่อย่างใด

นอกจากนี้ ทางรัฐบาลจีนยังได้ส่งสัญญาณเตือนสหรัฐฯถึง “มาตรการตอบโต้” การลงนามในร่างกฏหมายดังกล่าวอีกด้วย

· รายงานจากทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ต่างระบุว่า ตรวจสอบพบวัตถุต้องสงสัยว่าเป็นขีปนาวุธ ถูกยิงออกจากเกาหลีเหนือ ล่าสุดกำลังอยู่ในระหว่างการจับตาสถานที่ที่วัตถุดังกล่าวจะตกลงไป

· บทความจาก CNN Business คาดการณ์ว่า ภาวะสงครามการค้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณการซื้อขายสินค้าในช่วง Black Friday ของสหรัฐฯมากนัก เนื่องจากบรรดาผู้ค้าในสหรัฐฯต่างคาดการณ์ผลกระทบของการขึ้นภาษี และเพิ่มการเข้าซื้อสินค้ามาเก็บไว้ในโกดังตั้งแต่เมื่อปีก่อน ดังนั้น ราคาสินค้าที่ขายในช่วง Black Friday สัปดาห์นี้จะไม่เปลี่ยนแปลงหรือสูงขึ้นมากนัก

อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่จะเห็นราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2020 ภายใต้สมมติฐานว่าสหรัฐฯเดินหน้าขึ้นภาษีจีนในวันที่ 15 ธ.ค. ปีนี้

· นักวิเคราะห์จาก ICBC Standard Bank มีมุมมองว่า การที่จีนกำลังจะจัดการประชุมเศรษฐกิจประจำปี (Economic Work Conference) ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า บ่งชี้ถึงข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯที่จะ “เกิดขึ้นแน่นอน”

ทั้งนี้ เนื่องจากเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และรัฐบาลจีน คือเสถียรภาพ ดังนั้น สิ่งใดที่เป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพจะได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฮ่องกงและสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวเสริมว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนปีนี้ มีปัจจัยหลักมาจากการบริโภคภาคครัวเรือนที่ชะลอตัว ไม่ได้มาจากสงครามการค้าแต่อย่างใด ซึ่งจะเห็นได้จากการชะลอตัวของรายได้ภาคครัวเรือนที่ชัดเจนยิ่งกว่าการชะลอตัวของอัตรา GDP ที่แท้จริง ดังนั้นควรจับตาเรื่องของรายได้ภาคครัวเรือนเพื่อคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจจีนมากกว่า

· ศาสตราจารย์ประจำสถาบัน London School of Economics มีมุมมองว่า ข้อตกลงการค้า “เฟสแรก” จะเป็นข้อตกลงที่ลงนามร่วมกันเพื่อ “เอาหน้า” ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯและจีน และเพื่อนำไปอ้างเป็นชัยชนะทางการเมือง มากกว่าที่จะเป็นผลประโยชน์ที่แท้จริงต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากปัญหาสำคัญอย่างเรื่องของการละเมิดทรัพสินทางปัญญาที่ยังคงไร้วี่แววของความคืบหน้า

นอกจากนี้ แม้ทั้งสองฝ่ายจะสามารถลงนามในข้อตกลงร่วมกันได้ ยังจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่จนกว่าจะผ่านเป็นร่างกฏหมายในแต่ละประเทศ รวมถึงเวลาที่ตลาดจะเริ่มปรับตัวและเห็นถึงผลกระทบที่ชัดเจน

ยังมีนักวิเคราะห์รายอื่นๆที่มีความเห็นในเชิงเดียวกันกับศาตราจารย์ท่านนี้ ยกตัวอย่างเช่น นายสเตฟเฟน โรชจ์ อาจารย์ประจำ Yale University มีมุมมองว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรกเป็นข้อตกลงที่ “ว่างเปล่า” และ “กลวง”

รวมถึงนักวิเคราะห์จาก Allianz Global ที่มองว่าข้อตกลงเฟสแรกไม่ใช่ข้อตกลงครั้งสำคัญที่จะมาหยุดยั้งความขัดแย้ง แต่จะเป็นการ “พักยก” ชั่วคราวเท่านั้น

· การค้าทั่วโลกชะลอตัว ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยืดเยื้

แม้ในช่วงสัปดาห์นี้ สหรัฐฯและจีนดูจะมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะร่วมลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรก ซึ่งเป็นความหวังที่เกิดขึ้นในตลาดหลังมีรายงานข่าวเมื่อต้นสัปดาห์ที่ระบุว่าตัวแทนกลับมาเจรจากันอีกครั้งผ่านทางโทรศัพท์

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก ING มีมุมมองว่า ความไม่แน่นอนของสงครามการค้า “ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้” และผลกระทบของมันก็จะกระขายออกไปเป็นวงกว้าง ไม่ใช่แค่ระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงต่อภายในปีนหน้าจากปัจจัยความไม่แน่นอนนี้

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Societe Generale กล่าวสะท้อนถึงมุมมองข้างต้น โดยย้ำเตือนว่า การค้าทั่วโลกไม่เติบโตขึ้นเลยภายในปีนี้ และจะเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของ GDP ทั่วโลกต่อไป ภายในปีหน้า

· บทความของ South China Morning Post ระบุว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก มาจากปัญหารายได้ที่ไม่เท่าเทียมกันของประชาชน จำนวนประชากรสูงวัยที่เพิ่มสูงขึ้น และการที่นักลงทุนหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนระยะสั้นมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อในประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเด็น Brexit หรือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จึงทำให้ภาครัฐไม่สามารถเข้ามาดูแลปัญหาของประชาชนได้เต็มที่

· มูลค่าบิทคอยน์ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 6,558.14 เหรียญ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ตรงกันข้ามกับการเคลื่อนไหวเมื่อ 2 ปีก่อนที่มูลค่าบิทคอยน์ปรับขึ้นเหนือ 18,000 เหรียญ หลังจากรัฐบาลจีนเร่งเดินหน้ากำจัดผู้ให้บริการซื้อขายที่ผิดกฏหมายภายในประเทศ บ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนกำลังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี Blockchain จึงเร่งขยายอำนาจเข้าควบคุมการซื้อขายสกุลเงินดิจิตอล

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเมื่อวานที่ปรับลดลงหลังรายงานข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์และทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลง 18 เซนต์ หรือ 0.3% ที่ระดับ 63.88 เหรียญ/บาร์เรล ต่อเนื่องจากเมื่อวานที่ลดลง 0.3%

น้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 24 เซนต์ หรือ 0.4% ที่ระดับ 57.87 เหรียญ/บาร์เรล ต่อเนื่องจากเมื่อวานที่ลดลง 0.5%

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com