• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562

    28 พฤศจิกายน 2562 | Economic News



· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นขณะที่ค่าเงินยูโรหลุดต่ำกว่า 1.10 ดอลลาร์/ยูโร ทำต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ 1.0989 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนจะทรงตัวบริเวณ 1.1011 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ดัชนีดอลลาณ์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.1% ที่ 98.352 จุด อันเป็นผลจากความคืบหน้าของข้อตกลงการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทการค้าสหรัฐฯและจีน ขณะที่เงินเยนอ่อนค่าเพิ่มขึ้นไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 3 สัปดาห์ และค่าเงินเยนอยู่ที่ 109.18 เยน/ดอลลาร์

นักวิเคราะห์จาก Commerzbank กล่าวว่า จากความคืบหน้าของสงครามการค้าและข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าหลุดต่ำกว่า 1.10 ดอลลาร์/ยูโรเมื่อวานนี้ แต่ถึงแม้จะผันผวนระดับล่างแต่ภาพรวมก็ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ อันเนื่องจากยังมีแรงหนุนจากทิศทางการดำเนินนโยบายการเงิน

กลุ่มนักลงทุนมีความคาดหวังมากขึ้นว่าข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะสำเร็จได้ หลังจากที่นายทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นที่ว่าข้อตกลงดังกล่าวเข้าใกล้ขั้นสุดท้ายแล้ว

บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ กล่าวว่า กลุ่มนักลงทุนตอบรับต่อทิศทางเชิงบวกของการเจรจาการค้าจึงทำให้เราเห็นสภาวะตลาดเป็นไปแบบ Risk-On ขณะที่ดอลลาร์ก็ดูจะปรับแข็งค่าขึ้นต่อได้ในฐานะ Safe-Haven อันเนื่องจากเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการที่เฟดได้ปรับลดดอกเบี้ยก่อนหน้าเพื่อหนุนการเติบโต

· เช้านี้ ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นอีกครั้งในฐานะ Safe-Haven หลังจากทราบรายงานการลงนามข้อร่างกฎหมายเพื่อให้เป็นตัวบทกฎหมายที่สมบูรณ์ในการสนับสนุนผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกง ที่กลายมาเป็นความกังวลให้แก่นักลงทุนบางส่วนว่าอาจจะสร้างความยากลำบากต่อความพยายามทำข้อตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดยเงินเยนแข็งค่าลงมา 0.2% ที่ระดับ 109.35 เยน/ดอลลาณ์ หลังจากที่อ่อนค่าไปมากสุดรอบ 6 เดือนวานนี้ อันได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ขณะที่ค่าเงินหยวนปรับอ่อนค่า 0.19% ที่ 7.0290 หยวน/ดอลลาร์ จากการลงนามของนายทรัมป์ ที่อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯและจีนได้

อย่างไรก็ดี เวลานี้ทุกฝ่ายกลับมาให้ความสำคัญกับจีนว่าจะตอบรับอย่างไรกับผลกระทบที่จะตามมาหลังจากที่สหรัฐฯมีร่างกฎหมายให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงฮ่องกง ที่ดูเหมือนว่าอาจบั่นทอนการเจรจาการค้าเพื่อยุติ Trade War ที่ยืดเยื้อระหว่าง 1 ประเทศได้

· ที่ปรึกษาระดับอาวุโสจาก McLarty Associates กล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนจะประสบกับภาวะทางการเมืองในช่วง 2-3 สัปดาห์จากนี้หากยังไม่มีแนวโน้มว่าจะร่วมลงนามข้อตกลง “เฟสแรก” กับทางผู้นำสหรัฐฯได้โดยปราศจากการยกเลิกภาษีบางส่วน

โดยภาวะการเมืองของจีนและสหรัฐฯนั้นมีความเหมือนกัน ขณะที่นายทรัมป์มีการเลือกทำตามแนวคิดตน ขณะที่นายสีเองก็ดูจะมีความกังวลต่อการเมืองภายในประเทศเช่นกัน ดังนั้น ข้อตกลงที่จะเกิดขึ้นระหว่างประเทศต้องเป็นแบบ Win-Win ทั้งสองฝ่าย รวมทั้งต้องมีการเลื่อนการขึ้นภาษีรอบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค.นี้ออกไปด้วย ท่ามกลางปัญหาความวุ่นวายในฮ่องกงที่ยังเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของนายสีต่อพรรครัฐบาลของเขาเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองกว่า ปัญหาฮ่องกง ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยปัญหาใหญ่ในเวลานี้ คือการที่นายทรัมป์จะทำการลดหรือยกเลิกภาษีให้แก่จีนตามที่จีนร้องขอหรือไม่ ท่ามกลางสหรัฐฯที่กังวลต่อการเข้าซื้อสินค้าเกษตรจากทางจีน รวมทั้งท่าทีแข็งกร้าวที่สหรัฐฯต้องการในเรื่องลิขสิทธิ์ทางปัญญา ซึ่งไม่เพียงแต่นายสีที่ต้องเผชิญกับความลำบากใจในช่วง 2-3 สัปดาห์จากนี้ นายทรัมป์เองก็เช่นกัน ดังนั้น บทสรุปที่จะเกิดต้องเป็นแบบ Win-Win ทั้งสองฝ่ายเท่านั้น

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำการลงนาม 2 ร่างกฎหมายที่สนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงฮ่องกงเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าจีนจะกล่าวย้ำถึงความไม่พอใจก็ตาม


ทั้งนี้ แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุด้วยว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ "ด้วยความเคารพ" ต่อ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และชาวฮ่องกงทุกหมู่เหล่า และด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าขั้วการเมืองทุกฝ่ายในแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงจะสามารถเจรจายุติความขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรืองในระยะยาวสำหรับทุกภาคส่วนที่

· โพลล์จาก YouGov เผยคาดการณ์ที่ว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษมีแนวโน้มจะได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภาจากการเลือกตั้งวันที่ 12 ธ.ค. โดยอาจได้รับชัยชนะไปด้วย 359 ที่นั่ง จาก 650 ที่นั่ง โดยเพิ่มจากการเลือกตั้งในปี 2017 ที่พรรคอนุรักษ์นิยมคว้าชัยไป 317 ที่นั่ง โดยในการหาเสียงนั้น นายจอห์นสันชูนโยบายจะผลักดัน Brexit ให้แล้วเสร็จในวันที่ 31 ม.ค. หากได้รับชัยชนะเลือกตั้ง หลังจากที่อังกฤษประสบปัญหาทางการเมืองมากกว่า 4 ปี

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากจำนวนที่นั่งที่เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งในปี 2017 ของแต่ละพรรค พบว่าพรรค Conservative จะมีที่นั่งเพิ่มขึ้น 47 ที่นั่ง ตามมาโดยพรรค Labour ฝ่ายค้านที่เพิ่มขึ้น 44 ที่นั่ง จึงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันนโยบาย Brexit ของนายบอริส

ขณะที่ทาง YouGov เอง ได้ออกมาเตือนว่า ยังเหลือเวลาอีกค่อนข้างมากก่อนถึงการเลือกตั้งวันที่ 12 ธ.ค. และประชาชนอังกฤษก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนใจ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองและการหาเสียงของแต่ละฝ่าย

· นายกรัฐมนตรีจีนกล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า จีนจะเริ่งปฏิรูปและสนับสนุนการจัดสร้างตลาดพื้นฐาน, การลงทุนในยุค Globalization และการหั่นกำแพงภาษีการลงทุนสำหรับภาคบริษัทต่างๆ ในขณะที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมากที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้แตะ 6% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 25 ปี อันเป็นผลกระทบจาก Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน

· รายงานจาก Asia Food Challenge ระบุว่า เอเชียจะประสบวิกฤตอาหารที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง และอาจจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนถึง 8 แสนล้านเหรียญในอีก 10 ปีข้างหน้าเพื่อผลิตอาหารต่างๆเพิ่มขึ้นภายในภูมิภาค เนื่องจากประชากรในแถบเอเชียขยายตัวอย่างมาก และกลุ่มผู้บริโภคก็ดูจะมีความต้องการมากขึ้นในเรื่องความปลอดภัย, สุขภาพ และเสถียรภาพในกลุ่มอาหาร จึงจะทำให้ค่าใช้จ่ายในหมวดของอาหารเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จาก 4 ล้านล้านเหรียญในปี 2019 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8 ล้านล้านเหรียญในปี 2030

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากมีรายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯขยายตัวเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว รวมไปถึงสต็อกแก๊สโซลีนที่เพิ่มขึ้น แต่การปรับตัวลงของสัญญาน้ำมันดิบยังเป็นไปอย่างจำกัดเพราะมีปัจจัยบวกอย่างเรื่องข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีนที่อาจเกิดขึ้นในเร็วๆนี้เป็นแรงสนับสนุนของตลาดอยู่

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 27 เซนต์ หรือ -0.4% ที่ระดับ 64 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรับลง 30 เซนต์ หรือ -0.5% ที่ 58.11 เหรียญ/บาร์เรล

ขณะที่วันนี้เป็นวันหยุด Thanksgiving จึงทำให้เราเห็นปริมาณการลงทุนเริ่มลดลงตั้งแต่เมื่อคืนนี้

รายงานจาก EIA เผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12.9 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่ปริมาณการกลั่นน้ำมันมีการชะลอตัวลง ทางด้านสต็อกแก๊สโซลีนเพิ่มขึ้นเกินคาดที่ 5.1 ล้านบาร์เรล จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.2 ล้านบาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com