• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562

    27 พฤศจิกายน 2562 | Economic News

 
· ข่าวการเจรจาทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯและจีน ได้ช่วยหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นทำระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบเงินเยน ในขณะที่ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นท่ามกลางมุมมองเชิงบวกต่อทั้งสองฝ่ายที่เข้าใกล้ข้อตกลงการค้าฉบับชั่วคราวในเร็วๆนี้เพื่อยุติ Trade War

นายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรี, นายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ตัวแทนเจรจาการค้าสหรัฐฯ และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ มีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับข้อตกลงเฟสแรก และมีการเห็นพ้องกันที่จะยังคงการติดต่อสื่อสารเพื่อเจรจาในเรื่องดังกล่าว

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 98.251 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำระดับสูงสุดเหนือ 98.3 จุด

ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้นไปแตะ 109.205 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 2 สัปดาห์ ก่อนจะแข็งค่ากลับลงมาแนว 109.01 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นแตะ 7.240 หยวน/ดอลลาร์ หรือปรับแข็งค่ามาประมาณ 0.15% เมื่อเทียบระดับปิดก่อนหน้า

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงมาแตะ 1.1008 ดอลลาร์/ยูโร ใกล้กับระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ทำไว้ในวันจันทร์ที่ผ่านมาบริเวณ 1.10035 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินปอนด์เคลื่อนไหวแถว 1.2894 ดอลลาร์/ปอนด์ จากความหวังที่พรรคอนุรักษ์นิยมจะได้รับเสียงข้างมากในการเลือกตั้ง 12 ธ.ค. นี้ และจะยุติภาวะรัฐสภาแขวนได้

ภาพรวมตลาดค่าเงินมีการซื้อขายในกรอบ และมีการชะลอการทำสถานะใดๆก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุด Thanksgiving ที่จะเริ่มในวันพฤหัสบดีนี้

· นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายการค้าของ UN ในหน่วยงานของ UNCTAD เผยว่า ภาพรวมในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมากลุ่มผู้บริโภคและบริษัทต่างๆได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยทำให้ผู้บริโภคต้องเสียภาษีที่สูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มผู้นำเข้าสินค้าและบริษัทต่างๆที่มีการนำเข้าชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์จากจีนก็ได้รับผลกระทบไปตามๆกัน โดยภาพรวมทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆในแถบเอเชียได้รับผลกระทบจากปัญหา Trade War ไปแล้วมูลค่า 3.5 หมื่นล้านเหรียญ

ขณะที่บริษัทที่ส่งออกสินค้าก็มียอดส่งออกลดลงไปกว่า 0.25% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะไต้หวันที่มียอดส่งออกลดลงไป 4.2 พันล้านเหรียญในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้



นอกจากนี้ทาง UN ยังระบุว่าผลจากการศึกษาผลกระทบดังกล่าวสะท้อนว่ามีแต่เสียกับเสีย ไม่เพียงแต่สองประเทศที่ขึ้นภาษีกัน แต่ยังบั่นทอนเสถียรภาพทางการเติบโของเศรษฐกิจโลกด้วย และหน่วยงานของ UN ก็คาดหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาข้อตกลงการค้าร่วมกันได้เพื่อลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้น

· บทความของนายสเตฟเฟน โรชจ์ อาจารย์ประจำ Yale University ที่รายงานโดย South China Morning Post กล่าวเกี่ยวกับทิศทางของสงครามการค้า หลังจีนและสหรัฐฯต่างส่งสัญญาณความพร้อมที่จะร่วมลงนามในข้อตกลงเฟสแรก กล่าวโดยสรุปได้ว่า แม้ตลาดจะเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) หรือการตัดขาดระหว่างสหรัฐฯและจีน (Decoupling) ทางสหรัฐฯก็ยังมีแนวโน้มที่จะโยกย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากประเทศจีน ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯได้รับผลกระทบ

· สำหรับประเด็นสงครามการค้า Goldman Sachs มองว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกรายไตรมาสได้ชะลอตัวลงไปถึง 0.5% ขณะที่สถาบัน Moody's Analytics มองว่า หากมีการขึ้นภาษีตอบโต้กันอีกรอบ จะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย

และนักวิเคราะห์มองทรัมป์มีทางเลือก 2 ทาง คือ

1. เดินหน้าขึ้นภาษีต่อ หากไม่สามารถสรุปข้อตกลงได้ “เพื่อเป็นการปกป้องแรงงานในสหรัฐฯ จากภัยคุกคามของประเทศจีน” ตามที่นายทรัมป์อ้าง

2. หาข้อตกลงขนาดย่อมๆ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดูจะถูกใจนักลงทุนและจีนมากที่สุด โดยแหล่งข่าวระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเกี่ยวกับการที่จีนเข้าซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯมากขึ้น แลกกับการยกเลิกภาษีที่ขึ้นไว้ในเดือน ก.ย. และยกเลิกภาษีที่จะขึ้นในเดือน ธ.ค.

· โพลสำรวจโดย Reuters/Ipsos พบว่า นับตั้งแต่ที่กระบวนการไต่สวนนายทรัมป์มีการถ่ายทอดสดออกทางโทรทัศน์ กระแสสนับสนุนให้นายทรัมป์ถูกไต่สวนได้เพิ่มมากขึ้น โดยประชาชนสหรัฐฯกว่า 47% ที่ตอบแบบสำรวจให้การสนับสนุนการไต่สวน ขณะที่อีก 40% ไม่สนับสนุน

ทางด้านโพลสำรวจโดย CNN พบว่ามีประชาชนสหรัฐฯมากกว่าครึ่งประเทศที่ไม่เพียงแค่สนับสนุนการไต่สวนเท่านั้น แต่เห็นด้วยกับการที่นายทรัมป์จะถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี

· คณะกรรมาธิการด้านความยุติธรรมประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เรียนเชิญนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้เข้ารับฟังประเด็นที่เขาถูกไต่สวนในวันที่ 4 ธ.ค. ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นายทรัมป์จะเข้ารับฟังประเด็นการไต่สวนอย่างเป็นทางการ

· รายงานจาก Politico ระบุว่า ตัวแทนจากสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก มีกำหนดการจะมาพบกันภายในวันพุธนี้ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างทั้ง 3 ประเทศที่จะมาแทนที่สัญญา NAFTA (North American Free Trade Agreement)

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นหลังมีข่าวว่าทางการสหรัฐฯและจีนหารือทางการค้าร่วมกัน พร้อมคาดว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับตัวลงจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาช่วยสนับสนุนราคา โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 60 เซนต์ หรือ +0.9% ที่ระดับ 64.25 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 40 เซนต์ หรือ +0.7% ที่ระดับ 58.41 เหรียญ/บาร์เรล

· รายงานจาก CNBC คาดว่า กลุ่มสมาชิกโอเปก ร่วมกับรัสเซีย มีแนวโน้มจะขยายข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตออกไปจนถึงช่วงกลางปีหน้า แต่อาจไม่มีการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มจากปัจจุบันที่ร่วมกันปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน และประเด็นดังกล่าวอาจไม่ได้สร้างความพอใจให้แก่ตลาดน้ำมันเท่าไหร่นัก โดยที่จะมีการประชุมของบรรดาผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในวันที่ 5 และ 6 ธ.ค.นี้


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com