• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562

    21 พฤศจิกายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินเยนแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังมีรายงานว่าข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีนอาจถูกเลื่อนการลงนามออกไปเป็นปีหน้า สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน และหนุนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาอีกครั้ง

ขณะที่ค่าเงินหยวนอ่อนค่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

ค่าเงินเยนแข็งค่า 0.15% เมื่อเทียบกับดอลลาร์บริเวณ 108.46 เยน/ดอลลาร์

ด้านค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินยูโร แถว 1.1077 ดอลลาร์/ยูโร และทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ 1.2931 ดอลลาร์/ปอนด์

ด้านค่าเงินหยวนในประเทศ อ่อนค่าทำระดับ 7.0450 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดของวันที่ 1 พ.ย. สำหรับค่าเงินหยวนนอกประเทศ อ่อนค่าลงแถว 7.0533 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดของวันที่ 5 พ.ย. ก่อนจะฟื้นตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีมุมมองว่า จีนไม่มีความพยายามในการ “ยกระดับ” การเจรจาการค้าร่วมกับสหรัฐฯ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองประเทศไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้เสียที

นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังได้ระบุว่า กำลังพิจารณาว่าจะยกเว้นการเก็บภาษีสินค้าของ Apple ที่นำเข้ามาจากประเทศจีนหรือไม่ หลังจากที่นายทรัมป์ได้เยี่ยมชมโรงงานผลิตของ Apple ในรัฐเท็กซัส เมื่อวานนี้

· เศรษฐกิจสิงคโปร์ขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดในไตรมาสที่ 3/2019 โดยขยายตัวได้ 0.5% มากกว่าคาดการณ์ของรัฐบาลที่ 0.1% แต่สอดคล้องกับคาดการณ์ของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่ 0.5% สิงคโปร์จึงสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจไปได้ ท่ามกลางการฟื้นตัวของภาคการผลิตในประเทศ

ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยังปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจตลอดปี 2019 จากเดิมที่ 0.0 – 1.0% เป็น 0.5 - 1.0% แทน

· นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ยังคงมีมุมมองว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนยังสามารถเกิดขึ้นได้ แต่โอกาสที่จะเกิดข้อตกลงในเฟสต่อๆไปภายในปีหน้า ยังไร้ความชัดเจน

ทั้งนี้ มองว่าตลาดสามารถปรับตัวสูงขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนก่อน จากกระแสคาดการณ์ว่าจะเกิดตกลง แต่กระแสคาดการณ์นั้นดูเหมือนจะค่อนข้างสูงเกินไป จึงมีความเสี่ยงที่ตลาดจะเผชิญความผิดหวังที่รุนแรง หากข้อตกลงไม่เกิดขึ้น

· นักวิเคราะห์จาก UBS ยังคงมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นจีน โดยยังคงระดับการประเมินหุ้นจีนไว้ที่ระดับ “overweight” แม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯก็ตาม

โดยให้เหตุผลว่า ส่วนหนึ่งของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในประเทศจีน มาจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการตลาดตามนโยบายของภาครัฐ ซึ่งดูเหมือนความพยายามดังกล่าวก็กำลังจะออกดอกออกผล เห็นได้จากการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2019 ของบริษัทในประเทศจีนที่ออกมาโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบ 10% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 5% ดังนั้นจึงมองว่า ตลาดหุ้นจีนยังเป็นตลาดที่มีโอกาสสำหรับการลงทุนอยู่ในระดับสูง

· นายแม็กซ์ โบวคัส อดีตเอกอัคราชทูตในสมัยรัฐบาลโอบามา เตือน หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดสินใจลงนามสนับสนุนร่างนโยบายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของชาวฮ่องกง จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนเลวร้ายลง

โดยอดีตทูตมีมุมมองว่า ร่างนโยบายดังกล่าวจะไม่สามารถช่วยให้ผู้ชุมนุมชาวฮ่องกงบรรลุเป้าหมายที่พวกเขาต้องการได้ ซ้ำร้ายไปยิ่งกว่านั้น คือจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนเลวร้ายลง แม้ว่าร่างนโยบายจะดูดีในสายตาของนักการเมืองชาวอเมริกัน หรือในสายตาของนายทรัมป์มากแค่ไหนก็ตาม

นอกจากนี้ กระแสกดดันให้นายทรัมป์ลงนามสนับสนุนร่างนโยบายดังกล่าวถือว่าค่อนข้างรุนแรงมากทีเดียว เห็นได้จากการตอบรับของบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่มีต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนของชาวฮ่องกง

· หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯมีมติผ่านร่างนโยบายว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของชาวฮ่องกงไปเมื่อคืน รวมถึงวุฒิสภาที่มีมติผ่านร่างนโยบายดังกล่าวไปก่อนหน้านี้ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นจากทั้ง 2 สภา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงถูกคาดการณ์ว่า จะทำการลงนามในร่างนโยบายดังกล่าว แม้จะเสี่ยงกดดันความพยายามเจรจาการค้ากับจีนก็ตาม

โดยนายทรัมป์จะมีเวลาเพียง 10 วัน (ไม่รวมวันอาทิตย์) ในการตัดสินใจลงนามในร่างนโยบาย เว้นเสียแต่เขาจะใช้อำนาจประธานาธิบดีในการสั่งยับยั้ง (Veto) ร่างนโยบายดังกล่าว

ขณะที่แหล่งข่าววงในของ Reuters รายงานว่า นายทรัมป์จะตัดสินใจลงนามในร่างนโยบาย โดยไม่สั่งยับยั้งแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นายทรัมป์จะใช้อำนาจประธานาธิบดีสั่งยับยั้งร่างนโยบายดังกล่าว โอกาสที่ร่างนโยบายจะถูกปฏิเสธไปก็มีค่อนข้างต่ำ เนื่องจากคะแนนเสียงที่ท่วมท้นจากทั้ง 2 สภา และแทบไม่มีเสียงที่ไม่สนับสนุนเลย ซึ่งโดยปกติแล้ว คำสั่งของประธานาธิบดีให้ยับยั้งร่างนโยบาย จะถือเป็นโมฆะ หากรัฐสภา 2 ใน 3 ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของดังกล่าว

· รายงานจากกระทรวงพาณิชย์จีน ยังคงยืนยันว่ารัฐบาลจีนจะผลักดันอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดการลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับสหรัฐฯ พร้อมระบุว่าทั้งสองฝ่ายยังคงรักษาการติดต่อสื่อสารที่ใกล้ชิดกันอย่างต่อเนื่อง

· กระแสคาดการณ์ของตลาดในปัจจุบันเชื่อว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงต่ำกว่าระดับ 6% แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าเมื่อไหร่ และรัฐบาลจีนน่าจะไม่ยอมปล่อยให้อัตราการเติบโตลงต่ำกว่า 6% ด้วยการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงต่ำกว่าระดับดังกล่าว

ดังนั้น สิ่งที่ตลาดจะให้ความสนใจคือ “เมื่อไหร่” ที่รัฐบาลจีนจะปล่อยอัตราการเติบโตลดลงต่ำกว่าระดับทางจิตวิทยาที่ 6% และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในความเป็นจริงของเศรษฐกิจ

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีน จากการประท้วงอย่างต่อเนื่องในฮ่องกงที่อาจทำให้ข้อตกลงที่จะมายุติสงครามการค้าระหว่างสองประเทศล่าช้าออกไปอีก

ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าเตือนว่า ข้อตกลงเฟสแรกอาจเลือนออกไปถึงปีหน้า ขณะที่ตลาดกำลังติดตามการเจรจาสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯเกี่ยวกับการผ่านร่างกฏหมายสองฉบับเพื่อสนับสนุนผู้ประท้วงในฮ่องกง

ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 22 เซนต์ หรือ 0.35% อยู่ที่ระดับ 62.11 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.35% ที่ระดับ 56.81 เหรียญ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันทั้งสองปรับสูงขึ้นจากเมื่อวาน จากข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ออกมาสดใส


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com