• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2562

    11 ตุลาคม 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและค่าเงินหยวนต่างแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางสัญญาณเชิงบวกจากการเจรจาสหรัฐฯ-จีน ขณะที่ค่าเงินปอนด์ก็แข็งค่าขึ้นเช่นกัน จากมุมมองเชิงบวกต่อโอกาสข้อตกลง Brexit

นักวิเคราะห์จาก FXTM มีมุมมองว่า ตลาดพร้อมที่จะเฉลิมฉลองทันทีที่มีสัญญาณเกิดข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แม้จพเป็นข้อตกลงแบบชั่วคราวก็ตาม

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่า 0.2% แถว 0.6776 ดอลลาร์ ระหว่างวันทำระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 0.6782 ดอลลาร์ ด้านค่าเงินหยวนขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อยแถว 7.0890 หยวน/ดอลลาร์

ขณะที่ค่าเงินเยน ซึ่งเป็น Safe-haven อ่อนค่าลงแถว 108.13 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดของวันที่ 1 ต.ค.

ค่าเงินยูโรแข็งค่าเล็กน้อยแถว 1.1018 ดอลลาร์/ยูโร เคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ขณะที่ค่าเงินปอนด์แข็งค่าเล็กน้อยแถว 1.2455 ดอลลาร์/ปอนด์ ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ปรับขึ้นไปได้เมื่อคืนนี้ด้วยอัตรา 2% โดยเป็นอัตราแข็งค่าที่มากที่สุดในรอบ 7 เดือน ท่ามกลางความหวังที่ดีต่อโอกาสเกิดข้อตกลง Brexit



· EUR/USD Technical Outlook: ลุ้นค่าเงินฟื้นตัวจากทิศทางขาลงระยะ 4 เดือน

นักวิเคราะห์จาก Daily FX มีมุมมองว่า ค่าเงินยูโรตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ต.ค. นี้ ก็ได้พยายามที่จะฟื้นตัวขึ้นมาเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ และล่าสุดก็ดูเหมือนจะมีโอกาสฟื้นตัวเหนือเส้นแนวต้านของเทรนขาลง หรือเส้นสีแดงตามกราฟด้านล่าง แต่ตลาดกำลังจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์เกิดความผันผวน โดยในกรณีที่การเจรจาล้มเหลว ตลาดจะมีความต้องการค่าเงินดอลลาร์ในฐานะ Safe-haven กลับมา และหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าตัดโอกาสที่ค่าเงินยูโรจะสามารถลบล้างทิศทางขาลงระยะยาวได้


ทั้งนี้ หากราคาสามารถผ่านแนวต้านกดังกล่าวขึ้นมาได้ จะมีเป้าหมายระยะสั้นอยู่ที่ 1.1076 ดอลลาร์/ยูโร และถัดไปที่ 1.1110 ดอลลาร์ยูโร ขณะที่แนวรับจะอยู่ที่ระดับ 1.0999 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นแนวต้านเดิม หากหลุดแนวรับนี้ลงมาค่าเงินจะมีโอกาสย่อตัวกลับลงไปแถว 1.0880 – 1.0898 ดอลลาร์/ยูโรอีกครั้ง

· ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสงครามการค้า อาจกำลังกดดันให้รัฐบาลมาเลเซียพิจารณาชะลอการใช้มาตรการรัดเข็มขัดเพื่อช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ

โดยทางรัฐมนตรีกระทรวงการคลังมาเลเซีย ระบุว่า ปัจจัยดังกล่าวจะเป็นความท้าทายให้กับแผนลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่ตั้งเป้าว่าจะลดยอดขาดดุลต่อ GDP ลงมาสู่ระดับ 3% จาก 3.4% ภายในปี 2020

ด้านบรรดานักวิเคราะห์มีมุมมองว่า เป้าหมายยอดขาดดุลต่อ GDP ที่ 3.1 – 3.2% ดูจะเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับสภาวะเศรษฐกิจของมาเลเซีบที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็นต้องยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัด และสามารถรักษาความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศได้

นอกจากนี้ อีกปัจจัยหนึ่งที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญ คือพัฒนาให้เศรษฐกิจมาเลเซียดึงดูดบริษัทต่างชาติให้โยกย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศ เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากสงครามการค้า

· คณะกรรมการประจำสภาผู้แทนราษฎาสหรัฐฯ จะมีการเรียกตัวนางมารีย์ โยวาโนวิท์ช อดีตเอกอัคราชทูตยูเครน เพื่อมาให้ปากคำเกี่ยวกับประเด็นที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามติดต่อกับต่างชาติเพื่อกดดันคู่แข่งทางการเมือง ภายในวันศุกร์นี้

· จากรายงานข่าวที่สหรัฐฯจะทำข้อตกลงด้านอัตราแลกเปลี่ยนร่วมกันจีน ซึ่งตลาดตอบรับเป็นสัญญาณเชิงบวกของการเจรจาการค้าครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างเตือนว่าข้อตกลงดังกล่าวจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินหยวนอย่างมีนัยสำคัญ

แต่สิ่งที่ข้อตกลงน่าจะเปลี่ยนแปลงได้ คือการที่สหรัฐฯสามารถถอนคำพูดที่กล่าวหาว่าจีนจงใจลดค่าเงินหยวนลงเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าอย่างไม่ยุติธรรม

ทั้งนี้ ทางสหรัฐฯก็ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงดังกล่าวออกมามากนัก แต่ตลาดเชื่อว่าข้อตกลงดังกล่าวจะห้ามไม่ให้แต่ละฝ่ายสามารถลดค่าเงินของตัวเองลดเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า

· อัตราการส่งออกของจีนในเดือน ก.ย. ถูกคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย ท่ามกลางปริมาณอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนลง ประกอบกับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่อัตรานำเข้าถูกคาดว่าจะปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญแรงกดดันที่มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การขึ้นภาษีของสหรัฐฯจะมีผลบังคับใช้กับจีนในวันที่ 15 ต.ค. และ 15 ธ.ค. เว้นเสียแต่ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ณ กรุงวอชิงตัน สัปดาห์นี้ได้

อัตราส่งออกจีนในเดือน ก.ย. ถูกคาดว่าจะชะลอตัวลง 3% จากปีก่อนหน้า ชะลอตัวยิ่งกว่าในเดือน ส.ค. ที่ 1% ขณะที่การนำเข้าถูกคาดว่าจะลดลง 5.2% จากปีก่อนหน้า เทียบกับเดือน ส.ค. ที่ลดลง 5.6%

· อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือน ก.ย. ของญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะชะลอการเติบโตลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่ 0.3% เทียบกับของเดือน ส.ค. ที่ 0.5% จึงอาจยิ่งกดดันให้ทางบีโอเจพิจารณาเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

· นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และนายนเรนทระ โมธี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ถูกคาดการณ์ว่าจะมีข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนของทั้ง 2 ฝ่ายระหว่างการประชุมร่วมกันของทั้ง 2 ผู้นำวันศุกร์นี้ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะสร้างความสงบสุขให้แก่พื้นที่แคชเมียร์

· ล่าสุด ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 2.3% ทำระดับสูงสุดที่ 60.46 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อยแถว 60.13 เหรียญ/บาร์เรล

ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 2.1% ทำระดับสูงสุดที่ 54.69 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนจะย่อตัวลงมาแถว 54.47 เหรียญ/บาร์เรล

· สำนักข่าว ISNA ของอิหร่านรายงานว่า เกิดเหตุระเบิดเรือบรรทุกน้ำมันของบริษัท National Iranian Oil จนทำให้เกิดเพลิงไหม้เรือ ห่างจากเมืองเจดดาห์ซึ่งเป็นเมืองท่าของซาอุดีอาระเบียประมาณ 60 ไมล์ ซึ่งเหตุระเบิดดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก และมีน้ำมันรั่วไหลลงในทะเลแดง ขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า เหตุระเบิดดังกล่าวเป็นการโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com