• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2562

    2 ตุลาคม 2562 | Economic News


· ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ท่ี่เฟดจะลดดอกเบี้ยต่อหลังข้อมูลภาคการผลิตสหรัฐฯที่ออกมาแย่กว่าที่คาดและเข้ากดดันค่าเงินดอลลาร์ ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย



ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวหรืออ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังจากที่ร่วงลงจากระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 2 ปี ตอบรับข้อมูลเศรษฐกิจภาคการผลิตสหรัฐฯที่หดตัวลงอย่างรวดเร็วในรอบ 10 ปี ในเดือนก.ย.



นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Westpac กล่าวว่า ข้อมูลภาคการผลิตล่าสุดดูจะค่อนข้างผิดจากที่คาดการณ์อย่างมาก และนั่นถือเป็นข่าวร้ายต่อตลาด และนักลงทุนหันไปให้ความสนใจต่อข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในวันศุกร์นี้ หรือ Non-Farm Payrolls เพื่อชี้วัดการความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ



ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นมาที่ 1.0933 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ปอนด์อ่อนค่าลง 0.2% ที่ 1.2280 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังไปทำแข็งค่ามากที่สุดรอบ 1 เดือน จากปัญหาความไม่แน่นอน Brexit โดยที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะทำการเปิดเผยแผน Final Brexit ที่นำเสนอต่อทาง EU และสร้างความชัดเจนว่าจะออกจากอียูอย่างไรในวันที่ 31 ต.ค.นี้



ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้นมาที่ 108.84 เยน/ดอลลาร์ แต่ดัชนีดอลลาร์ยังค่อนข้างทรงตัวบริเวณ 99.159 จุด

· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ดูเหมือนเดือนนี้จะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเฟดจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการตัดสินใจในวาระการประชุมช่วงสิ้นเดือนนี้ โดยในคืนวันที่ 3 เฟด เฟดจะประกาศแนวทางการตัดสินใจ ว่าจะขยายยอดงบดุลบัญชีหรือไม่ ประกอบกับคำถามที่ว่า เฟดจะเผชิญแรงกดดันจนต้องใช้หรือไม่กลับมาใช้ QE อีกครั้ง



แต่เหมือนสภาพการณ์ทุกอย่างดูจะบีบให้เฟดอาจต้องหาแนวทางเพื่อจัดการกับความกังวลเรื่องภาวะถดถอย หลังจากที่ ISM เผยข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ออกมาแย่กว่าที่คาดทำต่ำสุดตั้งแต่มิ.ย. ปี 2009 และนายทรัมป์เองก็ดูจะนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของเฟด โดยตำหนิว่าเฟดเป็นต้นเหตุในการใช้อัตราดอกเบี้ยระดับสูงและทำให้ดอลลาร์แข็งค่า กระบทบภาคการผลิตสหรัฐฯ



· เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group เผยคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนต.ค. มีโอกาสเพิ่มขึ้นจาก 39.6% ในวันก่อนสู่ระดับ 65.7%



· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ข้อมูลแรงงานตัวแรกที่ตลาดให้ความสำคัญ คือการประกาศข้อมูลจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ประจำเดือนก.ย. 19.15น. ที่ถูกคาดว่าจะมีการจ้างงานลดลง และเมื่อทราบผลภาคแรงงานคืนนี้ จะมีการประกาศสำคัญต่อไปในคืนวันศุกร์ ได้แก่ Non-Farm Payrolls ที่เป็นข้อมูลจากภาครัฐบาล ซึ่งหากข้อมูลตัวนี้ออกมาแข็งแกร่งก็จะช่วยควบคุมความกังวลของบรรดานักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯทีอาจเผชิญภาวะถดถอย หลังจากที่ข้อมูลภาคการผลิตได้กดดันตลาดไปแล้ว


· รายงานจาก Reuters ระบุว่า อดีตเจ้าหน้าทำเนียบขาวจำนวน 2 คน ถูกเรียกให้รายงานตนต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรสภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากทั้งคู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนทนาระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำยูเครน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทรัมป์กำลังถูกไต่สวน และมีแนวโน้มที่การไต่สวนจะมีความรุนแรงมากขึ้นภายในสัปดาห์นี้เช่นกัน


· หัวหน้าคณะกรรมการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวหานายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ว่าพยายามข่มขู่พยานที่รู้เห็นกรณีการสนทนาระหว่างนายทรัมป์และผู้นำยูเครน เพื่อขอให้ยูเครนสืบประวัติของนายโจ ไบเดน ผู้ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต และคู่แข่งทางการเมืองของนายทรัมป์



ขณะที่นายปอมเปโอ ประกาศไม่สนับสนุนข้อเรียกร้องของคณะกรรมการที่พยายามรวบรวมข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศทั้งอดีตและปัจจุบันทั้งหมด 5 ราย เกี่ยวกับกรณีการไต่สวนนายทรัมป์


· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะเปิดเผย Final Brexit ภายในวันพุธนี้ พร้อมประกาศว่า หากทางอียูยังไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ อังกฤษจะเลิกเจรจากับอียู และเดินหน้าถอนตัวออกจากอียูตามกำหนดการเดิมในวันที่ 31 ต.ค.


· นายเรย์ ดาริโอ นักบริหารกองทุนเฮจฟันด์และเศรษฐีพันล้าน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่ทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังศึกษาวิธีการจำกัดการไหลออกของเงินทุนสหรัฐฯไปสู่ประเทศจีน ว่ามีความเป็นไปได้ที่ทีมบริหารจะมีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญตามมาเร็วๆนี้



นายดาริโอได้ยกตัวอย่างกรณีที่สหรัฐฯประกาศอาญัติทรัพย์สินและการส่งออกน้ำมันไปสู่ญี่ปุ่นเมื่อช่วงปี 1940



ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจประกาศระงับการไหลออกของเงินทุนสหรัฐฯไปสู่ประเทศจีนและระงับการชำระหนี้ให้กับจีน รวมถึงการใช้มาตรการคว่ำบาตรเพื่อควบคุมไม่ให้บริษัทสหรัฐฯดำเนินธุรกรรมใดๆรว่มกับจีน


· นายเดวิด ลิปตัน รองผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงมากกว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พร้อมทั้งระบุว่า เป็นเรื่องที่ยากหากจะเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้ายังคงดำเนินต่อไป


· รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแห่งเยอรมนี แสดงความเชื่อมั่นว่าเยอรมนีจะสามารถรับมือกับวิกฤติทางเศรษฐกิจได้ หากเกิดวิกฤติขึ้น พร้อมแสดงความเห็นว่า หากเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจขึ้นจริง ผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าช่วงปี 2008 - 2009


· ผลสำรวจโดยบีโอเจแสดงให้เห็นว่า กระแสคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของประเทศญี่ปุ่นจากบรรดาผู้ประกอบการในประเทศยังค่อนข้างทรงตัวในช่วง 3 เดือนจนถึงเดือน ก.ย. จึงเป็นสัญญาณว่า อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะยังทรงตัว แม้ว่าทางบีโอเจจะมีการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินมาโดยตลอดก็ตาม



ทั้งนี้ บรรดาบริษัทคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเติบโตเฉลี่ยที่ 0.9% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน เท่ากับที่คาดการณ์ไว้เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า และคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสามารถเติบโตถึงระดับ 1.0% ภายใน 3 ปีข้างหน้า และ 1.1% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งทั้งหมดเป็นตัวเลขคาดการณ์ที่เท่ากับคาดการณ์เดิม


· รายงานจากเลขาธิการประจำรัฐสภาญี่ปุ่น ระบุว่า เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธจำนวน 2 ลูกออกจากชายฝั่งตะวันออก และ 1 ในนั้นตกลงในเขตเศรษฐกิจพิเศษทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น



ทางเกาหลีใต้ยังไม่มีการยืนยันออกมาว่าเป็นขีปนาวุธหรืออาวุธประเภท รวมถึงจำนวนที่ถูกยิงออกมาก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน



ขณะที่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุว่า ญี่ปุ่นจะร่วมมือกับสหรัฐฯและนานาชาติเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับประเทศอย่างเต็มที่


· ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัย Cornell University มีความเห็นว่า รัฐบาลจีนอาจมีท่าทีแข็งกร้าวกับการชุมนุมในฮ่องกงมากขึ้น หลังจากที่จบพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน



โดยสถานการณ์การชุมนุมในฮ่องกงได้ทวีความรุนแรงขึ้น หลังมีรายงานว่า ตำรวจได้ยิงผู้ชุมนุมวัย 18 ปี ด้วยกระสุนจริงเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่จีนกำลังจัดพิธีเฉลิมฉลอง และนับเป็นครั้งแรกที่ตำรวจใช้กระสุนจริงตั้งแต่ที่การชุมนุมเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย.



ศาสตราจารย์มีความเห็นว่า การที่เหตุความรุนแรงขยายตัวมากขึ้นในวันเดียวกับพิธีการสำคัญ เป็นการทดสอบความอดทนครั้งสำคัญของรัฐบาลจีน และสถานการณ์ในฮ่องกงก็ดูเหมือนจะสุกงอมเต็มที่แล้ว สำหรับการที่จีนจะเข้ามาแทรกแซงการชุมนุมโดยตรง


· ราคาน้ำมันดิบรีบาวน์หลังจากที่ร่วงลงไป 7 วันทำการ หลังจากที่ข้อมูลอุตสาหกรรมที่แสดงให้เห็นว่าสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯลดลงอย่างน่าตกใจ รวมทั้งข้อมูลทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาอ่อนแอกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก



โดยน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.8% ที่ระดับ 59.36 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.3% ที่ระดับ 54.29 เหรียญ/บาร์เรล



ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงติดต่อกัน 6 วันทำการ ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากที่สุดในปีนี้ หลังจากข้อมูลภาคการผลิตสหรัฐฯออกมาต่ำสุดในรอบ 10 ปี ในเดือนก.ย. ท่ามกลางยอดส่งออกที่ตึงตัวขึ้นจากภาวะตึงเครียดทางการค้า

· WTI technical analysis: ราคาน้ำมันฟื้นตัวเหนือน 54 เหรียญ/บาร์เรล แต่ภาพรวมยังเป็นขาลง



ราคาน้ำมัน WTI ในช่วงเที่ยงวันนี้ กำลังเคลื่อนไหวแถวระดับ 54.16 เหรียญ/บาร์เรล นับเป็นการฟื้นตัวขึ้นมาได้ 0.41%



อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนที่ 53.09 เหรียญ/บาร์เรล น่าจะคงอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากสัญญาณทางเทคนิคต่างบ่งชี้ถึงทิศทางขาลง ยกตัวอย่างเช่น เส้น RSI ที่กำลังเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 จุด ขณะที่ MACD histogram ก็เคลื่อนไหวในทิศทางขาลงที่ลึกกว่าเดิม รวมถึงเส้นค่าเฉลี่นราย 5 และ 10 วัน ก็เคลื่อนไหวในทิศทางขาลงเช่นกัน แต่ที่สำคัญที่สุด คือการที่ราคาย่อตัวหลุดเส้นเทรนของระดับต่ำสุดวันที่ 3 ส.ค. กับวันที่ 3 ก.ย. จึงเป็นการยืนยันถึงทิศทงาขาลงที่ชัดเจนที่สุดและยังมีผลต่อมุมมองโดยรวมอยู่


ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่ยกมาทั้งหมด ราคามีแนวโน้มสูงที่จะย่อตัวลงต่อ ส่วนกรณีที่จะลบล้างสัญญาณของขาลงได้ ราคาต้องกลับมาเหนือระดับ 55.55 เหรียญ/บาร์เรลให้ได้เสียก่อน

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com