• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 27 กันยายน 2562

    27 กันยายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า หากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯคืนนี้ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาด ขณะที่ตลาดหุ้นอาจปรับตัวลดลง เนื่องจากกระแสคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ยจะลดน้อยลง โดยตัวเลขที่ตลาดจะให้ความสนใจเป็นหลัก คือ Core PCE Price Index m/m ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดใช้วิเคราะห์ทิศทางของเศรษฐกิจเป็นหลัก


· บทวิเคราะห์จาก FX Street คาดการณ์ว่า ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ (EUR/USD) ยังคงมีแนวโน้มที่จะย่อตัวลงต่อเนื่อง โดยมีแนวรับที่ระดับ 1.0908 ดอลลาร์/ยูโร ตามมาโดยระดับ 1.0886 ดอลลาร์/ยูโร ที่ถือว่าเป็นแนวรับสำคัญทางเทคนิค หากหลุดแนวรับนี้ลง ค่าเงินมีโอกาสร่วงลงแรงลงมาถึงระดับ 1.0783 ดอลลาร์/ยูโร

สำหรับแนวต้านวันนี้ จะอยู่ที่ระดับ 1.0942 ดอลลาร์/ยูโร ถัดไปที่ 1.0976 และ 1.0988 ดอลลาร์/ยูโร

· ค่าเงินปอนด์อังกฤษอ่อนค่าหลุดระดับ 1.23 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางอังกฤษ กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่การดำเนินนโยบายการเงินครั้งต่อไป อาจเป็นการปรับลดดอกเบี้ย หากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Brexit ยังคงอยู่

ทั้งนี้ ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงกว่า 0.4% เมื่อเทียบดับดอลลาร์ลงมาบริเวณ 1.228 ดอลลาร์/ปอนด์ ขณะที่ภาพรวมตั้งต้นปีจนถึงปัจจุบัน ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงกว่า 3%

· ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 2 ปี ท่ามกลางการกระแสการปรับพอร์ตก่อนในช่วงสิ้นไตรมาสที่ช่วยหนุนความต้องการค่าเงินดอลลาร์มากขึ้น ขณะที่ตลาดการเงินดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมืองในสหรัฐฯเท่าไหร่นัก

ทั้งนี้ ค่าเงินยูโรอ่อนค่า 0.1% แถว 1.0904 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. ปี 2017 ขณะที่ดัชนีดอลลาร์แข็งค่า 0.1% แถว 99.27 จุด ซึ่งเป้นระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์

นักวิเคราะห์จาก Credit Agricole มีมุมมองว่า ปริมาณความต้องการค่าเงินดอลลาร์จากบรรดาบริษัทดูเหมือนจะเป้นปัจจัยที่หนุนค่าเงินดอลลาร์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ได้คาดการณ์ว่า ค่าเงินดอลลาร์จะถูกเทขายลงในช่วงต่อไป เนื่องจากกระแสการปรับพอร์ต

· รายงานจากสถาบัน Stockholm International Peace Research Institute (SIPRI) ระบุว่า จีน นอกจากจะมีการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็นปริมาณมากแล้ว แต่ก็มีการเพิ่มปริมาณส่งออกอาวุธมากขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ไปแล้ว

โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีนถือเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่เช่นเดียวกับสหรัฐฯ รัสเซีย ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยมีการขนส่งกระสุนเป็นปริมาณ 1.62 หมื่นล้านยูนิต ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ออกไปสู่บรรดาประเทศในเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา



ขณะที่ทางสถาบัน RAND Corporation มีมุมมองว่า เนื่องจากบรรดาประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ มักจะมีการจำกัดการนำเข้าอาวุธที่ค่อนข้างหละหลวม จึงช่วยสนับสนุนให้จีนกลายเป็นผู้ส่งอาวุธรายใหญ่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดยเฉพาะบรรดาประเทศที่เป็นสมาชิกยุทธศาสตร์ Belt and Road ยกตัวอย่างเช่น ปากีสถาน (6.57 พันล้านยูนิต) บังคลาเทศ (1.99 พันล้านยูนิต) และพม่า (1.28 พันล้านยูนิต)

· รัฐบาลญี่ปุ่นมีการจัดดับภัยคุกคามของประเทศขึ้นใหม่ หลังการประชุมด้านการป้องกันประเทศประจำปีเมื่อวานนี้ โดยปรับอันดับให้ประเทศจีนที่มีกำลังทางทหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขึ้นมาเป็นภัยคุกคามอันดับ 1 ของญี่ปุ่น แทนที่เกาหลีเหนือที่อาจมีการพัฒนาขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์

· แคนาดาจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในวันที่ 21 ต.ค. ขณะที่โพลเลือกตั้งล่าสุด แสดงให้เห็นว่าพรรค Conservative ของนายแอนดรูว์ เชียร์ เริ่มมีคะแนนนำนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดาคนปัจจุบัน

ทั้งนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์การเมืองและวัฒนธรรมเอเชีย University of Toronto มีมุมมองว่า ไม่ว่าจะฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง แคนาดาก็จะมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับประเทศจีนมากขึ้น เนื่องจากประชาชนแคนาดาเริ่มมีมุมมองที่ไม่ค่อยดีต่อประเทศจีนมากขึ้น

· ท่ามกลางภาวะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนดูจะย่ำแย่ลงจากสงครามการค้า ทางรัสเซียดูเหมือนกำลังพยายามพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกับจีนทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และทางทหาร อีกทั้งนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ยังเรียกนายวลาดิเมีย ปูติน ประธานาธิบดีจีน ว่าเป็น “เพื่อนสนิท” ของเขาอีกด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวทั้งในประเทศจีนและรัสเซีย ต่างมีรายงานว่ารัฐบาลของแต่ละฝ่ายต้องการที่จะขยายการค้าร่วมกันให้เป็น 2 เท่าภายในระยะเวลา 5 ปี โดยตั้งเป้าหมายดุลการค้าไว้ที่ 2 แสนล้านเหรียญภายในปี 2024 จากดุลการค้าในปี 2018 ที่ 1.07 แสนล้านเหรียญ และจะพัฒนาความร่วมมือทางด้านพลังงาน อุตสาหกรรม และการเกษตรอีกด้วย

· ตัวแทนพรรคเดโมแครตแห่งสหรัฐฯ พยายามเรียกร้องให้ผู้ใดก็ตามที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำยูเครน รายงานข้อมูลดังกล่าวให้กับรัฐสภา เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการไต่สวน

· สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ระบุว่า กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของจีนประจำเดือนส.ค.หดตัวลง 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสวนทางกับเดือนก.ค.ที่มีการขยายตัว 2.6%

ขณะที่ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ปรับตัวลง 1.7% สู่ระดับ 4.02 ล้านล้านหยวน (5.6728 แสนล้านเหรียญ) ซึ่งปรับตัวลงในอัตราเดียวกันกับในช่วง 7 เดือนแรก

ทั้งนี้ กำไรบริษัทอุตสาหกรรมของรัฐบาล ปรับตัวลง 8.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 1.21 ล้านล้านหยวน ขณะที่กำไรของบริษัทในภาคเอกชน เพิ่มขึ้น 6.5% สู่ระดับ 1.13 ล้านล้านหยวน ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้

· ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ท่ามกลางแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง ประกอบกับการฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดของปริมาณกาผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย จึงผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานลงไป

สำนักงานพลังงานนานาชาติ (International Energy Agency) ส่งสัญญาณอาจปรับลดคาดการณ์ปริมาณอุปสงค์ในน้ำมันสำหรับปี 2019 และ 2020 หากเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มอ่อนแอลง

ทั้งนี้ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 0.9% แถว 62.19 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 0.5% แถว 56.11 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com