• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 26 กันยายน 2562

    26 กันยายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเล็กน้อย แต่ยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดของคืนที่ผ่านมา ท่ามกลางตลาดที่มีการตอบรับแบบผสมผสานกับสัญญาณที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวถึงการเจรจาการค้ากับจีน



ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า 0.1% แถว 98.985 จุด แต่ยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ และยังใกล้ระดับ 99.37 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี



ค่าเงินยูโรแข็งค่า 0.1% แถว 1.0947 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินเยนแข็งค่า 0.1% แถว 107.68 เยน/ดอลลาร์



ด้านค่าเงินปอนด์ทรงตัวแถว 1.2354 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากอ่อนค่าลงกว่า 1% เมื่อคืน ท่ามกลางความกังวลของตลาดเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของ Brexit



นักวิเคราะห์จาก BNY Mellon ระบุว่า ตลาดต้องการทิศทางใหม่ๆที่ชัดเจน เนื่องจากตอนนี้ตลาดกำลังสับสนกับทิศทางการผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลาง และความไม่แน่นอนว่าสหรัฐฯจะสามารถหาข้อตกลงทางการค้าร่วมกับจีนได้หรือไม่ ทำให้ตลาดค่าเงินในวันนี้ค่อนข้างที่จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ


· USD/JPY technical analysis: ค่าเงินเคลื่อนไหวแดนลบ แต่มีสัญญาณกลับตัวในกราฟราย 15 นาที




ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยน (USD/JPY) เคลื่อนไหวแถวระดับ 107.65 เยน/ดอลลาร์ ในช่วงสายของตลาดเอเชียวันนี้ หรือปรับลดลงประมาณ 0.10% ตาม S&P 500 index futures ที่เคลื่อนไหวแดนลบ



บีโอเจประกาศลดการเข้าซื้อพันธบัตรอายุ 5 ปีกับ 10 ปี แต่การดำเนินการดังกล่าวไม่สามารถช่วยหนุนค่าเงินได้ เนื่องจากเป็นการดำเนินการตามปกติในแต่ละวันอยู่แล้ว



ทั้งนี้ สำหรับทิศทางต่อไปของค่าเงิน เมื่อดูจากกราฟราย 15 นาที จะเห็นสัญญาณ Bull flag ซึ่งเป็นสัญญาณว่าค่าเงินอาจเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น โดยหากค่าเงินยืนเหนือระดับ 107.74 เยน/ดอลลาร์ จะเป็นการยืนยันถึงทิศทางขาขึ้นในระยะสั้น


· นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรหน่วยงานจีนจำนวน 5 หน่วยงาน และนิติบุคคลอีก 6 ราย ที่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งน้ำมันออกจากอิหร่าน ซึ่งเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงบริษัทย่อยจำนวน 2 บริษัทของ Cosco Shipping Corporation

ขณะที่ทางกระทรวงต่างประเทศของจีนออกมาตอบโต้การคว่ำบาตรดังกล่าว โดยยืนยันว่าการดำเนินงานร่วมกันระหว่างจีนและอิหร่านครั้งนี้ ถูกดำเนินการอย่างถูกกฏหมาย


· นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group เตือน การประกาศคว่ำบาตรจีนเนื่องจากความเกี่ยวข้องกับอิหร่านครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า อิหร่านอาจเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า สหรัฐฯกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวของจีนอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ การคว่ำบาตรอาจส่งผลให้จีนออกตัวสนับสนุนอิหร่านมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนได้รับผลกระทบในเชิงลบ


· นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าบีโอเจ กล่าวว่า จะผลักดันนโยบายการเงินให้ดำเนินไปในทิศทางที่เหมาะสม โดยไม่มีรูปแบบที่ตายตัวแต่อย่างใด พร้อมเตือนถึงปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่กำลังขยายตัวขึ้น อันมาจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน

ทั้งนี้ นายคุโรดะเน้นย้ำว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่บีโอเจต้องยึดมั่นในแนวทางผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบพิเศษ เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศขยายตัวสู่ระดับเป้าหมายที่ 2%


· การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมา ต่างออกมาค่อนข้างอ่อนแอไม่ว่าจะเป็นในด้านผลประกอบการ อัตราการผลิต ยอดขาย หรือแม้กระทั่งตลาดแรงงาน และนักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังไม่ประกาศออกมา มีแนวโน้มที่จะย่ำแย่ลงไปกว่านี้อีก



จากรายงาน China Beige Book ที่รวบรวมข้อมูลธุรกิจจีนกว่า 3,300 ราย ซึ่งเปิดเผยเมื่อวานนี้ บ่งชี้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ขณะที่ยอดหนี้สินกลับพุ่งสูงขึ้น



ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหา “Shadow banking” ก็ยังอยู่ที่ระดับที่มากที่สุดในประวัติการณ์เป็นอันดับที่ 2 บ่งชี้ว่าจีนยังมีปัญหาหนี้สินที่ภาครัฐไม่สามารถตรวจสอบได้อยู่อีกมาก



ขณะที่ผู้บริหารหน่วยงานด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสถาบัน State Information Center ได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3/2019 มีแนวโน้มที่จะชะลอการเติบโตลงไปอีก โดยคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 3/2019 ไว้ที่ 6.1% และไตรมาสที่ 4/2019 ที่ 6.2% ซึ่งจะทำให้ภาพรวมรายปีอยู่ที่ระหว่าง 6.2 – 6.3%

นอกจากนี้ ผู้บริหารยังมีความเห็นว่า ไม่มีความชัดเจนว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาการกู้ยืม มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ ปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจนอกจากปัญหาหนี้สินภายในประเทศแล้ว ยังมีเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปีก่อน


· ผลสำรวจจาก Reuters ระบุว่า กิจกรรมภาคการผลิตของจีนประจำเดือนก.ย.คาดว่าจะหดตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน เนื่องจากถูกกดดันจากประเด็นสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น


· นักวิเคราะห์เชิงการเมืองจากสถาบัน Stratfor มีมุมมองว่า อินเดียอาจเป็นคู่ค้าที่เหมาะสมกับสหรัฐฯ และอาจเป็นฝ่ายที่ได้ผลประโยชน์ระหว่างสหรัฐฯกำลังตกอยู่ในสงครามการค้าร่วมกับจีน



ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจอินเดียจะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับจีน แต่ก็เป็นเศรษฐกิจที่มีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง และมีความเป็นไปได้ในอนาคตที่หลากหลาย ดังนั้นการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและอินเดียจะช่วยเสริมสร้างบทบาทของสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชียได้มากยิ่งขึ้น

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายนเรนทระ โมธี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้ปรากฏตัวด้วยกันในการกล่าวปราศรัยที่รัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเกิดกระแสคาดหวังว่าจะเห็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ-อินเดีย ดังนั้นการพบกันของทั้งสองผู้นำที่อาจเกิดระหว่างการประชุม U.N. ช่วงสัปดาห์นี้ ก็น่าจะเป็นอีกเหตุการณ์ที่ตลาดให้ความสนใจ


· นางแครี แลม ผู้นำรัฐบาลฮ่องกง มีกำหนดการจะเจรจากับตัวแทนสาธารณชนเป็นครั้งแรกภายในวันนี้ เพื่อพยายามยุติเหตุชุมนุมที่ขยายตัวเป็นความรุนแรงในเมืองฮ่องกง และยืดเยื้อมาเป็นเวลาเกือบ 4 เดือนแล้ว

โดยนางแลมมีการเจรจากับตัวแทนชุมชนกว่า 150 คน ภายในวันนี้ ตัวแทนแต่ละคนจะมีเวลา 3 นาทีสำหรับการแสดงความมุมมองที่มีการการบริหารของรัฐบาล


โดยตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของจีนประจำเดือนก.ย. (PMI) คาดว่ายังคงทรงตัวที่ระดับ 49.5 จากเดือนส.ค.ที่ผ่านมา


· ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง หลังจากการร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของซาอุดีอาระเบีย เจ้าชายอับดุลลาซิซ บิน ซัลมาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saudi Aramco นายเอมิน เอช. นาสเซอร์ ออกมายืนยันว่า จะสามารถกู้กำลังการผลิตและสามารถกลับมาผลิตน้ำมันดิบได้ 11.3 ล้านบาร์เรล/วัน ภายในปลายเดือนก.ย. ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์หลังจากการโจมตีโรงงานผลิตน้ำมัน



โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.1% ที่ระดับ 62.36 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 0.2% ที่ระดับ 56.40 เหรียญ/บาร์เรล



เหล่านักลงทุน ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนเล็กน้อยจากความหวังว่าข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนอาจคลี่คลายลง ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นอุปสงค์น้ำมันได้

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com