• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 25 กันยายน 2562

    25 กันยายน 2562 | SET News

· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯประกาศเริ่มมาตรการไต่สวนไม่ไว้วางใจนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ภายใต้ข้อกล่าวหาว่านายทรัมป์พยายามเสาะหาความช่วยเหลือจากต่างชาติในการกดดันคู่แข่งทางการเมืองของเขา ซึ่งอาจส่งผลให้นายทรัมป์ถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ หรือส่งผลกระทบกับทิศทางการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 ได้ รวมทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสของความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯอีกด้วย

โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 0.86% ซึ่งปรับลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา

ด้านตลาดหุ้นจีนและค่าเงินหยวนปรับตัวลดลง ขณะที่สัญญาซื้อขายน้ำมันปรับตัวลดลงหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมทป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงตำหนิกับการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมของจีน ประกอบไปด้วยกำแพงภาษีในตลาดตล่างๆ, การแทรกแซงค่าเงิน และการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นก่อนหน้าที่จะเกิดการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

อย่างไรก็ดี นายทรัมป์ ได้ทิ้งท้ายว่า ยังคาดหวังจะสามารถหาข้อตกลงฉบับสมบูรณ์กับจีนได้ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ให้ประโยชน์แก่ทั้งสองประเทศ แต่เขาก็ยืนกรานว่าจะไม่ยอมรับข้อตกลงใดๆที่ออกมาเป็น Bad Deal

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯประกาศเริ่มมาตรการไต่สวนไม่ไว้วางใจนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ขณะที่ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯที่อ่อนแอทำให้ความวิตกกังวลเกี่ยวกับประเด็นทางการค้าสหรัฐฯ-จีนเพิ่มมากขึ้น

โดยดัชนี Nikkei ลดลง 0.4% ที่ระดับ 22,020.15 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี Topix ลดลง 0.2% ที่ะรดับ 1,620.08 จุด

· ตลาดหุ้นจีนปิดแดนลบ หลังสหรัฐฯและจีนมีการส่งสัญญาณถึงจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อกันในที่ประชุม U.N. จึงกดดันความหวังที่จะเห็นทั้งสองฝ่ายหาข้อตกลงร่วมกันได้

ทั้งนี้ ดัชนี blue-chip CSI300 ปิด -0.8% ที่ระดับ 3,870.98 จุด ขณะที่ดัชนี Shanghai Composite ปิด -1.0% ที่ระดับ 2,955.43

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวตำหนิการปฏิบัติทางการค้าของจีนไปในที่ประชุม U.N. เมื่อวานนี้ รวมถึงยืนยันว่าจะไม่ยอมรับ “ข้อตกลงที่แย่” ร่วมกับจีน

ขณะที่ทางรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของจีนได้โต้กลับนายทรัมป์ ในที่ประชุม U.N. วันนี้ โดยระบุว่า จีนไม่มีความประสงค์ที่จะเล่นศึกชิงบัลลังก์กับสหรัฐฯ และเคารพผลประโยชน์ของสหรัฐฯ แต่ทางจีนจะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกดดันทางการค้าหรือถูกแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งรวมถึงไปประเด็นของฮ่องกงด้วย


· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดแดนลบ ท่ามกลางประเด็นความตึงเครียดทางการเมืองของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของกรณี Brexit โดยดัชนี Stoxx 600 เปิด -0.6% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี การท่องเที่ยว และพลังงาน ที่ปรับลดลงมากกว่า 1% ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆต่างเคลื่อนไหวในแดนลบ

อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- คณะกรรมการนโยบายการเงินไทย (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ซึ่งการตัดสินนโยบายในครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัว 2.8% ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ที่ 3.3% จากการส่งออกที่หดตัวมากกว่าคาด ซึ่งส่งผลไปสู่อุปสงค์ในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย เสถียรภาพระบบการเงินได้รับการดูแลไปแล้วบางส่วน แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม

คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่กรอบเป้าหมาย จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้

- รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าไทย เปิดเผยถึงยอดจดทะเบียนธุรกิจ จัดตั้งใหม่ทั่วประเทศเดือนสิงหาคม 2562 จำนวน 5,973 ราย เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2562 จำนวน 6,459 ราย ลดลง 486 ราย คิดเป็น 8% และเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม2561 จำนวน 6,446 ราย ลดลง 473 ราย คิดเป็น 7% ธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 547 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 344 ราย คิดเป็น 6% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร 172 ราย คิดเป็น 3%

- นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากจะมีการพิจารณางบประมาณมากถึง 3 ล้านล้านบาท ประชาชนให้ความสำคัญ เพราะคาดหวังว่าการเมืองจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หากเราสามารถบริหารจัดการให้รัฐบาลมีเสถียรภาพได้ งบประมาณครั้งนี้ผ่านการพิจารณาและนำไปใช้ได้จะเป็นประโยชน์มาก เพราะเป็นเงินก้อนโตที่มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยยังผูกพันกับเศรษฐกิจโลก ขณะนี้อยู่ในยุคถดถอยและกลุ่มประเทศคู่ค้ากับประเทศไทยมีปัญหา ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ทำให้เกิดผลกระทบกับไทย ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น และต้องพึ่งการลงทุนภายในประเทศเป็นหลัก หากงบประมาณ 3 ล้านล้านบาทผ่านได้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มหาศาล ซึ่งรัฐบาลต้องชี้แจงให้เพื่อนสมาชิกพรรคการเมืองต่างๆเข้าใจด้วย


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com