• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 25 กันยายน 2562

    25 กันยายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวในตลาดเอเชียแต่ยังคงอยู่ในทิศทางอ่อนค่าตามกระแสข่าวเกี่ยวกับการไต่สวนพิจารณาถอดถอนนายทรัมป์ ออกจากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นและประเด็น Trade War กำลังสร้างความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจ

ในตลาดเอเชียวันนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ หลังจากที่เกิดการเคลื่อนไหวของนางเพโลซี่ โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่ได้ประกาศไปเมื่อวานนี้

ค่าเงินเยนยังคงอ่อนตัวลงอีกประมาณ 0.2% ที่ระดับ 107.28 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่เมื่อวานนี้แข็งค่าลงไปทำระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ 106.96 เยน/ดอลลาร์

ทิศทางค่าเงินยูโรยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากยังถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนที่ออกมาอ่อนแอตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ โดยวันนี้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงมาเล็กน้อย 0.2% ที่ 1.1001 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่วันจันทร์อ่อนค่าลงไปที่ 1.0966 ดอลลาร์/ยูโร

· ค่าเงินปอนด์ดูจะมีแรงหนุนได้จากการที่ศาลสูงสุดแห่งอังกฤษมีคำวินิจฉัยว่า การตัดสินในแขวนสภาของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษมีความผิดตามกรบวนการฎหมาย ขณะที่เหลือเวลาเพียง 5 สัปดาห์เท่านั้นที่ต้องตัดสินว่าอังกฤษจะออกจากอียูโดยมีหรือไม่มีข้อตกลงใดๆ

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนตลาดจะไม่มีสัญญาณรีบาวน์อะไรมากนัก เนื่องจากตลาดก็ยังคงมีความไม่แน่นอนในระดับสูงและนักลงทุนก็รอดูท่าทีอีกครั้ง

ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมา 0.2% ที่ 1.2467 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.2582 ดอลลาร์/ปอนด์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 2 เดือนที่ทำไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว

· ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันได้แก่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ออกมาแย่กว่าท่ี่คาดไปทำระดับต่ำสุดรอบ 9 เดือนในเดือนก.ย. ก็ดูเหมือนจะส่งผลให้หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก MUFG Bank กล่าว่า ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ออกมาแย่ได้สร้างเซอร์ไพร์สตลาด เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคเป็นหนึ่งปัจจัยที่สร้างความขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และนั่นอาจนำมาซึ่งเฟดจำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในปีนี้

· นายหวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของจีน ระบุว่า จีนไม่มีความตั้งใจที่ปลดสหรัฐฯออกจากตำแหน่งผู้นำโลกแต่อย่างใด แต่ต้องการให้สหรัฐฯยกเลิก “การกีดกันทางการค้าที่ไร้เหตุผล” ออกไปเสีย พร้อมแสดงความหวังว่า การเจรจาการค้าของทั้งสองฝ่ายในรอบต่อจะมีความคืบหน้าที่ดี เนื่องจากจะเป็นการเปิดโอกาสครั้งสำคัญให้กับเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

· การประกาศดำเนินการไต่ส่วนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ แม้ตลาดหุ้นจะเกิดความผันผวนหลังทราบรายงานข่าวดังกล่าว แต่รองประธานสถาบัน BB&T Wealth Management มีมุมมองว่า ตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องกังวลกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้

โดยเมื่อพิจารณาการโครงสร้างของรัฐสภาสหรัฐฯแล้ว โอกาสที่นายทรัมป์จะถูกปลดออกจากตำแหน่งดูจะมีความเป็นไปได้ต่ำ เนื่องจากกระบวนไต่สวนครั้งนี้จำเป็นต้องมีเสียงที่ไม่สนับสนุนนายทรัมป์ถึง 2 ใน 3 จากทั้ง 2 สภา และทางพรรครีพับลิกันก็เป็นฝ่ายที่ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ดังนั้น จึงมีมุมมองว่า การปลดนายทรัมป์ออกจากตำแหน่งจะไม่เกิดขึ้น เพราะเป็นการเอารีพับลิกันมาตัดสินรีพับลิกันด้วยกันเอง

· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวติดตลกเกี่ยวกับการดำเนินนโยบาย Brexit ในที่ประชุม U.N. วันนี้ ว่านักการเมืองอังกฤษบางคน ดูเหมือนจะต้องการให้กระบวนการ Brexit เป็นวัฏจักรแห่งความทรมาณที่ไม่รู้จักจบสิ้น เหมือนกับบทลงโทษของซุสที่มอบให้กับโพรมีธีอุสตามตำนานกรีกอย่างไรอย่างนั้น

· นายฮัสซัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน มีกำหนดขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุม U.N. ภายในวันนี้ ซึ่งอาจได้เห็นความชัดเจนมากขึ้น ว่าทางอิหร่านมีความตั้งใจที่จะเจรจากับสหรัฐฯเพื่อยุติความขัดแย้งในตะวันออกกลางหรือไม่

ทั้งนี้ นายโรฮานีได้เคยส่งสัญญาณว่า อิหร่านยินดีที่จะกลับมาเจรจา เฉพาะในกรณีที่สหรัฐฯยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน และกลับเข้ามาสนธิสัญญานิวเคลียร์

· เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯดูจะสร้างความกังวลต่อสัมพันธ์กับทางจีนอีกครั้ง โดยนายทรัมป์ได้ออกมากล่าวตำหนิจีนอีกครั้งในการประชุม U.N. ต่อการที่จีนปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และยังยืนยันที่จะไม่ยอมรับข้อตกลงที่เลวร้ายหรือ Bad-Deal ในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน

นายหวัง ยี่ เจ้าหน้าที่ทางการทูตระดับสูงของจีน ก็ออกมาโต้กลับว่าจีนเองก็ไม่เคยเป็นผู้คุกคามทางการค้าหรือเข้าแทรกแซงเรื่องภายในประเทศของใคร ซึ่งหมายรวมถึงฮ่องกงด้วย นอกจากนี้จีนไม่ได้ตั้งใจจะเล่นเกมส์ใดๆบนเวทีโลก

หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Sumitomo Mitsui Bank กล่าวว่า ถ้อยแถลงของนายทรัมป์ดูจะส่งผลกระทบต่อภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่กำลังดำเนินไป และอาจจะทำให้เกิดความยากที่จะจินตนาการถึงสิ่งท่ี่จีนจะเลือกตอบโต้ โดยที่ผ่านมาจีนมักตอบโต้และสร้างแรงกดดันสหรัฐฯด้วยการปรับลดค่าเงินหยวน และเราก็อาจเผชิญกับเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง

ค่าเงินหยวนทรงตัวที่ 7.1088 หยวน/ดอลลาร์ โดยยังคงอยู่ห่างจากระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 11 ปีครึ่งบริเวณ 7.1854 หยวน/ดอลลาร์ที่่ทำไว้ในช่วงต้นเดือนนี้

· ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank) คาดการณ์ว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของบรรดาตลาดเกิดใหม่ในทวีปเอเชีย พร้อมลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชียสำหรับปี2019 และ 2020

โดยประเทศในเอเชียที่กำลังพัฒนาทั้ง 45 ประเทศ ทั่วเอเชีย-แปซิฟิก มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ 5.4% ในปี 2019 และ 5.5% สำหรับปี 2020 ลดลงจากเดิมที่ 5.7% และ 5.6% ตามลำดับ

ขณะที่หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของ ADB มีความเห็นว่า สงครามการค้ามีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อเข้าสู่ปี 2020 ซึ่งบรรดาประเทศมหาอำนาจก็จะได้รับผลกระทบไปตามๆกัน และอาจมีความรุนแรงมากกว่าผลกระทบที่กำลังเผชิญในปัจจุบัน

สำหรับเศรษฐกิจจีน คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มจะเติบโตได้ 6.2% ในปี 2019 ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 6.3% และในปี 2020 จีนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวยิ่งกว่า โดยคาดการณ์ไว้ที่ 6.0% ขณะที่ทางรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2019 ไว้ที่ 6.0 – 6.5%

เมื่อแบ่งเป็นภูมิภาคย่อยลงมา เศรษฐกิจในเอเชียใต้มีแนวโน้มที่จะยังเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตสูงมากที่สุด แม้จะถูกปรับลดคาดการณ์ลงมาก็ตาม โดยสำหรับปี 2019 คาดกาณร์ไว้ที่ 6.2% จากเดิม 6.6% สำหรับเศรษฐกิจอินเดียปี 2019 ถูกปรับลดคาดการณ์ลงสู่ระดับ 6.5% จาก 7.0% ส่วนปี 2020 ยังคงคาดการณ์ไว้ที่ 7.2%

ทางฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกคาดการณ์ว่าน่าจะชะลอการเติบโตลงภายในปี 2019 ที่ระดับ 4.5% เทียบกับคาดการณ์เดิมที่ 4.8% ส่วนเศรษฐกิจในปี 2020 มีแนวโน้มที่จะกลับมาขยายตัวได้บ้าง โดยคาดการณ์ไว้ที่ 4.7% แต่ยังน้อยกว่าคาดการณ์เดิมที่ 4.8%

· บรรดาสมาชิกฝ่ายค้านในรัฐสภาอังกฤษต่างยินดีกับคำตัดสินของศาลสูงสุดอังกฤษ ที่ประกาศว่าการแขวนสภาของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ผิดกฏหมาย จึงถือเป็นโมฆะ และรัฐสภาจะกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งในวันนี้

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านยังคงไม่สามารถตกลงกันได้อย่างเป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินนโยบาย Brexit ต่อไป

โดยนายเจเรมี คอร์บลิน หัวหน้าพรรค Labour ยังคงยืนกรานที่จะกดดันให้นายบอริสออกจากตำแหน่ง และกลับมาเจรจากับอียูเพื่อให้อังกฤษคงอยู่ในอียูต่อไป แต่นายคอร์บลินยังคงเลี่ยงที่จะให้ความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ขึ้น แม้เมื่อวานนี้ จะมีการส่งสัญญาณว่า หากฝ่าย Labour ชนะการเลือกตั้ง การลงประชามติรอบที่สองน่าจะเกิดขึ้นตามมาภายใน 6 เดือนหลังจากนั้น

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงติตด่อกัน 2 วันทำการ ท่ามกลางความกังวลว่าความต้องการเชื้อเพลิงอาจลดลง จากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าที่เริ่มหม่นหมองลงหลังถ้อยแถลงของของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยยังคงตำหนิกับการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมของจีน ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นก่อนหน้าที่จะเกิดการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

และได้ทิ้งท้ายว่า ยังคาดหวังจะสามารถหาข้อตกลงฉบับสมบูรณ์กับจีนได้ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ให้ประโยชน์แก่ทั้งสองประเทศ แต่เขาก็ยืนกรานว่าจะไม่ยอมรับข้อตกลงใดๆที่ออกมาเป็น Bad Deal

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 52 เซนต์ ที่ระดับ 62.58 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 40 เซนต์ ที่ระดับ 56.89 เหรียญ/บาร์เรล

อย่างไรก็ดี น้ำมันดิบทั้งสองชนิดปรับตัวลดลงทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก่อนการเกิดเหตุโจมตีในซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา


· นักวิเคราะห์จาก DailyFX ระบุว่า ภาพทางเทคนิคราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงกลับทดสอบแนวรับซึ่งเคยเป็นสูงสุดเดิมเมื่อช่วงต้นเดือนส.ค. (บริเวณ 54.95 เหรียญ/บาร์เรล) ซึ่งหากรายวันปิดต่ำกว่าก็มีโกอาสเห็นราคากลับลงต่ำกว่า 50 เหรียญ/บาร์เรล ในทางกลับกันหากราคายืนเหนือแนวต้าน 58.76 เหรียญ/บาร์เรล และ 60.84 เหรียญ/บาร์เรลได้ ก็มีโอกาสทดสอบเป้าหมายที่เคยเป็นสูงสุดเดิมของเดือนนี้บริเวณ 64 เหรียญ/บาร์เรล




บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com