• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 13 กันยายน 2562

    13 กันยายน 2562 | Economic News

· ยูโรอ่อนค่าร่วงหลุด 1.10 ดอลลาร์/ยูโร หลังอีซีบีประกาศปรับลดดอกเบี้ยและกลับมาใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน (QE) เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค


ซึ่งถึงแม้นักลงทุนจะคาดกันไว้ว่าอีซีบีจะลดดอกเบี้ย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาใช้ QE อีกครั้งหรือไม่จากความเห็นของสมาชิกอีซีบีบางราย เมื่อไม่นานมานี้


อย่างไรก็ดี หลังจากช่วงต้นตลาดที่ค่าเงินยูโรแข็งค่าก็กลับอ่อนค่าลงอย่างหนักทำ Low ที่ 1.0955 ดอลลาร์/ยูโร และภาพรวมปิดตลาด -0.5% ซึ่งการที่อีซีบีจะลดดอกเบี้ยและประกาศ QE รอบใหม่เป็นสิ่งที่นักลงทุนตอบรับมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือน จึงเห็นและยูโรทำต่ำสุดรอบ 28 เดือนบริเวณ 1.0926 ดอลลาร์/ยูโร


การประชุมอีซีบีที่เพิ่งจบลงไป ดูจะเป็นเหตุการณ์สำคัญต่อตลาดที่เห็นแนวทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางรายใหญ่ และมีโอกาสมากขึ้นที่จะเห็นเฟดและบีโอเจสัปดาห์หน้าเลือกใช้นโยบายผ่อนคลาย


ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น โดยดัชนีดอลลาร์ปิด +0.2% ที่ 98.568 จุด

· ผลการประชุมอีซีบีเมื่อวานนี้มีการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลงอีก 0.1% สู่ระดับ -0.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ตามที่ตลาดคาด พร้อมกันนี้ อีซีบีมีการประกาศใช้มาตรการเข้าซื้อพันธบัตรครั้งใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่ยูโรโซน โดยจะใช้ QE วงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่อเดือนที่ 2 หมื่นล้านยูโร (2.19 หมื่นล้านเหรียญ) และจะมีการเข้าซื้อตราบนานเท่าที่จำเป็น โดย QE ล่านสุดนี้จะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ย.เป็นต้นไป

นายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบีคนปัจจุบัน เรียกร้องให้รัฐบาลมีการใช้มาตรการทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากอีซีบี และเพื่อประคับประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจไปด้วยกัน เนื่อง่จากในมุมมองของอีซีบีเล็งเห็นถึงภาวะเศรษฐกิจยูโรโซนที่อ่อนตัวและมีความเสี่ยงขาลงอย่างต่อเนื่องเห็นได้ชัด ขณะที่หลายๆประเทศสมาชิกในยูโรโซนมีระดับหนี้สาธารณะค่อนข้างสูง ทางรัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินนโยบายด้วยความรอบคอบเพื่อสร้างเงื่อนไขให้มีเสถียรภาพอย่างอัตโนมัติและจัดการได้อย่างอิสระ และประเทศทั้งหมดก็ควรร่วมมือกันพยายามให้บรรลุผลถึงการขยายตัวร่วมกันที่มากขึ้น


นอกจากนี้ อีซีบียังมีการเปลี่ยนแปลง TLTRO หรือการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์รอบใหม่ในอัตราที่เหมาะสมกับเงื่อนไขการกู้ยืมของภาคธนาคารให้สมกับอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ จึงมีการปรับลดลงประมาณ 0.1%


· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการส่งสัญญาณล่าสุดว่าเขากำลังพิจารณาถึงข้อตกลงการค้าชั่วคราวกับทางจีน แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากเขาอยากให้มีข้อตกลงทางการค้ากับจีนฉบับเต็มมากกว่า และเขาก็ยังคงเปิดกว้างสำหรับการลดข้อจำกัดทางการค้ากับจีนลง

อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของนายทรัมป์ดูจะสร้างความสับสนให้แก่ตลาดไม่น้อยในช่วงต้น ถึงสิ่งที่ทางทำเนียบขาวจะยอมรับให้เกิดการเจรจากับจีนต่อไป โดยในช่วงแรกหุ้นสหรัฐฯก็ดูจะตอบรับโดยปรับตัวสูงขึ้นจากการที่ทีมบริหารนายทรัมป์มีการพูดคุยกันถึงการจะหาข้อตกลงการค้าชั่วคราว แต่เจ้าหน้าที่จากทางทำเนียบขาวบางส่วน ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าสหรัฐฯจะไม่มีวันพิจารณาข้อตกลงใดๆ และนั่นได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับอ่อนตัวลงมาอีกครั้ง


ขณะที่โฆษกของทำเนียบขาวระบุว่า หากถามถึงความชัดเจนเกี่ยวกับท่าทีของนายทรัมป์ เขาเชื่อว่า นายทรัมป์ยังคงพึงพอใจกับข้อตกลงฉบับสมบูรณ์มากกว่า

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะเปิดเผยนโยบายปรับภาษีสำหรับครอบครัวที่มีรายได้ปานกลางภายในปี 2020 ท่ามกลางการแข่งขั้นเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยระบุเพียงแค่ว่าจะการปรับลดภาษีครั้งสำคัญสำหรับครอบครัวที่มีรายได้ปานกลาง โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ

ทั้งนี้ เมื่อในปี 2017 นายทรัมป์ได้เคยผลักดันนโยบายปรับลดภาษีเป็นผลสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง

· ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดทั่วโลก รองประธานสำนักงานด้านนโยบายต่างประเทศประจำหอการค้าสหรัฐฯ มีมุมมองว่า เม็กซิโกอาจเป็นผู้ชนะที่คาดไม่ถึงจากสงครามการค้าครั้งนี้ เนื่องจากสถานะของประเทศที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางของอุตสาหกรรม ที่สนับสนุนให้ต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนได้อย่างราบรื่นมากกว่า 50 ประเทศ

โดยเม็กซิโกมีข้อได้เปรียบในด้านแรงงานที่ถูกกว่าบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเปรียบเสมือนฐานสำหรับการส่งออก เนื่องด้วยปัจจัยต่อไปนี้

1. ประเทศเม็กซิโกตั้งอยู่ใกล้กับสหรัฐฯ และสามารถเข้าถึงสหรัฐฯได้โดยปราศจากภาษี

2. ความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ ที่มีความแตกต่างกันน้อยลงเรื่อยๆในช่วงไม่กี่ปีมานี้

3.ความผสมผสานกันระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ ยกตัวอย่างเช่น

- ชาวอเมริกันกว่า 36 ล้านคน เป็นลูกหลานของชาวเม็กซิโก

- มีมูลค่าการค้าขายระหว่างกันนับหลายแสนล้านเหรียญต่อปี

- มีปริมาณการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯสู่เม็กซิโกเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านเหรียญ

4.ความเชื่อมต่อกันทางด้านโครงสร้างพื้นฐานบริเวณชายแดนที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

· รายงานผลสำรวจจากรอยเตอร์สล่าสุด สะท้อนว่า ภาคบริษัทเกินกว่าครึ่งในญี่ปุ่นได้รับผลกระทบต่อผลประกอบการอันเป็นผลจากสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน แม้ว่าจะมีบางบริษัทเปลี่ยนระบบการจัดการและห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนแล้วก็ตาม

โดยจะเห็นได้ว่า 45% ของบริษัทญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบทางผลประกอบการจากภาษีสหรัฐฯและจีนที่ดำเนินไป ขณะที่ 6% คาดจะได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก และมีเพียง 7% ที่ไม่คิดว่าจะมีปัญหาหรือได้รับผลกระทบ

· หัวหน้าพรรค Democratic Unionist Party (DUP) ตัวแทนของประเทศไอร์แลนด์เหนือในรัฐสภาอังกฤษ ซึ่งปกติเป็นฝ่ายที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศจะไม่ให้การสนับสนุนข้อตกลง Brexit หากข้อตกลงดังกล่าวเป็นการแบ่งแยกตลาดภายในประเทศอังกฤษเสียเอง

ประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังหนังสือพิมพ์ The Times รายงานว่า พรรค DUP ตกลงที่จะสนับสนุนการให้อียูเข้ามามีส่วนในการปกครองประเทศเป็นบางส่วนภายหลัง Brexit ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงด้านชายแดนไอร์แลนด์ที่อาจช่วยเปิดประตูไปสู่ข้อตกลง Brexit ระหว่างอังกฤษและอียู

· อียูมีข้อเสนอให้อังกฤษมอบสถานะพิเศษทางการค้าภายในตลาดยุโรปให้กับประเทศไอร์แลนด์เหนือ เพื่อแลกกับการทำข้อตกลง Brexit ซึ่งทางรัฐบาลของทางไอร์แลนด์ก็มีท่าเห็นด้วย หากอังกฤษพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอของอียู

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงประมาณ 1.5% หลังจากที่สื่อรายงานถึงความไม่แน่นอนว่าจะมีข้อตกลงการค้าชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯกับจีนหรือไม่ ประกอบกับการประชุมโอเปกนัดล่าสุดยังไม่มีสัญญาณการตัดสินใจใดๆที่จะปรับลดการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 74 เซนต์ หรือ -1.2% ที่ระดับ 60.07 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 92 เซนต์ หรือ -1.7% ที่ระดับ 54.83 เหรียญ/บาร์เรล และนับเป็นวันที่ 3 ที่ราคาน้ำมันดิบทั้งสองชนิดยังคงปรับตัวลง


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com