• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 4 กันยายน 2562

    4 กันยายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินปอนด์แข็งค่าหลังการลงมติในรัฐสภาอังกฤษเมื่อคืนที่ผ่านมา อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ Brexit ถูกเลื่อนออกไปอีกครั้ง ขณะที่ค่าเงินดอลลารือ่อนค่าหลังการประกาศตัวเลขภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ ทำให้ตลาดมีกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น

โดยค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.2% จากระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปีเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ขึ้นมาแถว 1.2100 ดอลลาร์/ปอนด์ ขณะที่แข็งค่าขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับยูโร

· นักวิเคราะห์จากสถาบัน Xchainge มีมุมมองว่า นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับค่าเงินปอนด์ โดยการที่บรรดา ส.ส. ในรัฐสภาอังกฤษต่อต้าน No-deal Brexit กันอย่างล้นหลาม เป็นสัญญาณว่าอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะ No-deal Brexit และเผชิญภาวะ Soft Brexit แทน จึงเป็นโอกาสดีที่ค่าเงินปอนด์จะแข็งค่ากลับขึ้นมา

· ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ลงมาบริเวณ 98.91 จุด ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินยูโรแถว 1.0975 ดอลลาร์/ยูโร

· ค่าเงินเยนอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์แถว 106.11 เยน/ดอลลาร์ หลังสมาชิกบอร์ดบีโอเจส่งสัญญาณสนับสนุนให้ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ


· EUR/USD: ยูโรเคลื่อนไหวแดนบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 6 วัน ตลาดจับตาถ้อยแถลงลาการ์ด

ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ (EUR/USD) แข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อยเป็นวันแรก หลังจากที่อ่อนค่าต่อเนื่องติดต่อกัน 6 วันทำการ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดในรอบ 6 เดือน และมีแนวโน้มฟื้นตัวไปถึงระดับ 1.10 ดอลลาร์/ยูโร ภายในช่วงตลาดยุโรปวันนี้

กราฟแท่งเทียนของค่าเงินเกิดสัญญาณ Dragonfly Doji ซึ่งปกติจะบ่งชี้ถึงความไม่ชัดเจนหรือผันผวนของตลาด จึงอาจทำให้เกิดการกลับตัวของทิศทางตามมา สำหรับกรณีของค่าเงินยูโร ถือว่าเป็นสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาขึ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง จึงแนะนำจับตาระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 1.10 ดอลลาร์/ยูโร

นางคริสทีน ลาการ์ด ว่าที่ประธานอีซีบี มีกำหนดการขึ้นกล่าวถ้อยแถลงต่อสภายุโรปในวันนี้ เวลาประมาณ 14.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยถ้อยแถลงจะเกี่ยวกับการรับตำแหน่งประธานอีซีบี รวมถึงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต

หากนางลาการ์ดส่งสัญญาณว่าจะคงนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายดังเดิม หรือจะมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ค่าเงินอาจไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปที่ระดับ 1.10 ดอลลาร์/ยูโรได้

· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ทวีตข้อความที่ส่งสัญญาณว่า จะพยายามผลักดันให้เกิดข้อตกลงการค้าร่วมกับจีนให้ได้ก่อนถึงการเลือกตั้งในปี 2020 แต่ถ้ายังไม่สามารถตกลงกันได้และทรัมป์เอาชนะการเลือกตั้งมาได้ จีนจะเผชิญแรงกดดันทางการค้าที่หนักหน่วงยิ่งกว่านี้

ข้อความดังกล่าว เกิดขึ้นหลังมีรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯกับจีนยังคงไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับการกำหนดวันที่สำหรับการเจรจาร่วมกันภายในเดือนนี้ได้ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายมีการขึ้นภาษีตอบโต้กันไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

· เศรษฐกิจออสเตรเลียขยายตัวได้ด้วยอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบกว่าทศวรรษเมื่อไตรมาสที่ผ่านมา โดย GDP ไตรมาส 2/2019 ประกาศออกมาขยายตัวได้เพียง 1.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ท่ามกลางกลุ่มผู้บริโภคที่เข้าสู่ภาวะรัดเข็มขัด และสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

· รายงานจาก Reuters ระบุว่า นางแครี ลาม ผู้นำรัฐบาลฮ่องกง จะมีประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการยกเลิกร่างกฏหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนภายในวันนี้ โดยร่างกฏหมายดังกล่าวถือเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุความไม่สงบในฮ่องกง

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าการประกาศยกเลิกร่างกฏหมายจะสามารถช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในฮ่องกงได้หรือไม่

· ตลาดจะจับตาไปยังการประชุมรัฐสภาอังกฤษในคืนนี้ หลังจากที่รัฐสภาลงมติชิงอำนาจในการบริหารนโยบาย Brexit คืนมาจากรัฐบาลของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เมื่อคืนที่ผ่านมา

สิ่งที่ตลาดจะให้ความสนใจเป็นพิเศษคือการเคลื่อนไหวต่อไปของนายจอห์นสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้ส่งสัญญาณจะผลักดันให้ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่

ทิศทางต่อไปของการเมืองอังกฤษยังไม่มีความชัดเจนใดๆ โดยหนึ่งในความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นคือการเลือกตั้งครั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาอย่างน้อย 2 ใน 3 จาก ส.ส. ทั้งหมด ถึงจะสามารถประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งขึ้นมาได้

ส่วนอีกหนึ่งความเป็นไปได้ คือการที่พรรคฝ่ายค้านผลักดันให้เกิดการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งมีความเสี่ยงที่รัฐบาลของนายจอห์นสันอาจถูกโค่นลง หากไม่สามารถเรียกเสียงสนับสนุนได้มากพอ

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของตลาดจากข้อมูลภาคบริการของจีน หลังจากที่แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือนช่วงก่อนหน้านี้ จากข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI ภาคการผลิตที่ออกมาแย่ลงอย่างมากแตะระดับ 49.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี รวมทั้งรายงานผลสำรวจดัชนีภาคการผลิต (PMI) ของยุโรป ก็ยังสะท้อนถึงภาวะหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.53% ที่ระดับ 58.57 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.63% ที่ระดับ 54.28 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com