• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 4 กันยายน 2562

    4 กันยายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงทำระดับต่ำสุดรอบ 28 เดือนเมื่อเทียบดอลลาร์ ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนเริ่มมองว่าอาจเห็นระดับอัตราดอกเบี้ยเชิงลบเพิ่มขึ้นจากปัญหาเศรษฐกิจยูโรโซน นอกจากนี้ กรณี Trade War ดูจะส่งผลให้เหล่าเทรดเดอร์ถือครองค่าเงินดอลลาร์ในฐานะ Safe-Haven มากขึ้น โดยปราศจากการ Hedging ใดๆ


รายงานจาก CNBC ระบุว่า บรรดาตลาดการเงินส่วนใหญ่เชื่อว่ามีโอกาสกว่า 80% ที่จะเห็นอีซีบีเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.2% ในการประชุมสัปดาห์หน้า ซึ่ง ณ ปัจจุบัน อีซีบีมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ -0.4% แต่อีซีบีก็เคยให้สัญญาไว้ว่าจะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งหากการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก


นอกจากนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมารายงานผลสำรวจดัชนีภาคการผลิต (PMI) ของยุโรป ก็ยังสะท้อนถึงภาวะหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7


ค่าเงินยูโรปรับตัวลง 0.3% ที่ระดับ 1.0936 ดอลลาร์/ยูโร โดยช่วงต้นตลาดทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ค. ปี 2017 และเผชิญกับแรงเทขายอย่างรวดเร็วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วที่ Breakout หลุดระดับสำคัญ 1.1000 ดอลลาร์/ยูโร


ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นไปแถว 99.37 จุด ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ค. ปี 2017 ท่ามกลางนักลงทุนที่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะย่ำแย่มากขึ้นจากปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน

รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯและจีนมีการยังคงพยายามอย่างหนักในการกำหนดวันเจรจาการค้าที่ถูกคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนนี้


กลุ่มนักลงทุนต่างชาติมีการเข้าถือครองพันธบัตรสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวลง 0.025% ที่ระดับ 1.48% หลังสัปดาห์ที่แล้วปิดทำต่ำสุดที่ 1.44% ซึ่งเป็นต่ำสุดตั้งแต่กลางปี 2016 และเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาบางส่วนในตลาดพันธบัตรดูจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนค่าเงินดอลลาร์ด้วยเช่นกัน


ค่าเงินปอนด์อังกฤษยังคงปรับอ่อนค่าลงอีก 0.4% ที่ระดับ 1.2012 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยระหว่างการซื้อขายดิ่งลงไปทำอ่อนค่ามากที่สุดตั้งแต่ต.ค. ปี 2016 บริเวณ 1.1959 ดอลลาร์/ปอนด์ หรือเป็นการร่วงลงในรอบเกือบ 3 ปีอันเป็นผลจากการที่บรรดาส.ส. เตรียมการลงมติขั้นแรกต่อการคัดค้าน Brexit แบบ No-deal


อย่างไรก็ดี สถานการณ์ของอิตาลี จากการที่พรรค 5-Star Movement กับ DP จะฟอร์มรัฐบาลร่วมกันนั้น กลุ่มนักวิเคราะห์มองว่า หากการลงมติเห็นชอบประสบความสำเร็จก็อาจเห็นยูโรกลับแข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง



· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10ปี ปรับตัวลงทำต่ำสุดตั้งแต่ปี 2016 หลังมีรายงานว่า ข้อมูลภาคการผลิตสหรัฐฯหดตัวลงในเดือนส.ค. เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปี 2016 โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับตัวลงทำต่ำสุดตั้งแต่ก.ค. ปี 2016 ที่ 1.441% ขณะที่ผลตอบแทนระยะยาวอายุ 30 ปี ปรับลงแตะ 1.925%


หัวหน้านักวิเคราะห์จาก BMO Capital Markets ระบุว่า การอ่อนตัวลงของภาคการผลิตก่อให้เกิดคำถามว่าเป็นผลจากปัญหา Trade War หรือไม่ ที่กำลังสะท้อนต่อความเชื่อมั่นภาคธุรกิจให้ปรับตัวลดลง



· สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) เผยข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI ภาคการผลิตที่ออกมาแย่ลงอย่างมากแตะระดับ 49.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ขณะเดียวกันการร่วงลงต่ำกว่า 50% ถือเป็นสัญญาณหดตัว และข้อมูลดังกล่าวในช่วงประกาศออกมาได้กดดันให้ดาวโจนส์ดิ่งลงมากกว่า 300 จุด

· เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนดำเนินไปด้วยดี แม้ว่าจะมีการกล่าวเตือนจากเขาว่าหากการเจรจายังยืดเยื้อจนเขาได้รับตำแหน่งสมัยที่ 2 จีนก็อาจเผชิญกับความเข้มงวดมากขึ้นก็ตาม

อย่างไรก็ดี นายทรัมป์ ยังระบุว่า ทั้งสองประเทศจะมีการพบกันเพื่อหารือการค้าในเดือนนี้

· รายงานจากแหล่งข่าววงในของสำนักข่าว CNBC ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รู้สึกโกรธมาก เมื่อจีนตอบโต้สหรัฐฯด้วยการขึ้นภาษีในวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา จนถึงขึ้นพิจารณาจะเพิ่มอัตราภาษีที่เคยขึ้นไว้กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมดเป็น 2 เท่า

อย่างไรก็ตาม บรรดาที่ปรึกษาคนสนิท ซึ่งได้แก่ นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง นายโรเบิร์ต ไรท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้าสหรัฐฯ และบรรดาผู้นำทางธุรกิจอีกจำนวนหนึ่ง ได้กล่าวเตือนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจสหรัฐฯ นายทรัมป์จึงได้ยกเลิกแนวคิดดังกล่าว และเดินหน้าขึ้นภาษีจีน 5% เป็นมูลค่า 5.5 แสนล้านเหรียญตามแผนเดิม

· บรรดา ส.ส. ในรัฐสภาอังกฤษลงมติชิงอำนาจในการบริหารนโยบาย Brexit จากนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และรัฐบาล

การลงมติชิงอำนาจคืนจากรัฐบาลเมื่อคืนนี้ บรรดา ส.ส. ทั้งจากพรรค Conservative และพรรคฝ่ายค้านต่างร่วมกันโหวตผ่านไปด้วยคะแนนเสียง 328 ต่อ 301 เสียง ซึ่งจะสามารถทำให้รัฐสภามีอำนาจในการกีดกันไม่ให้รัฐบาลสามารถถอนอังกฤษออกจากอียูแบบไร้ข้อตกลงตามกำหนดการเดิมในวันที่ 31 ต.ค. ได้ ขณะที่นายจอห์นสันได้กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดเป็นการถอยหลังกลับ 1 ก้าวของรัฐบาล ดังนั้นเขาจึงจะผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งทั่วไปเป็นลำดับต่อไป


นอกจากนี้ รัฐสภาจะมีการลงมติอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดภายในคืนนี้ โดยการลงมติครั้งนี้หากผ่านไปได้ รัฐสภาจะกดดันให้รัฐบาลของนายจอห์นสันเจรจาขอขยายกำหนดการของ Brexit ออกไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค. ปี 2020


· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลง โดยน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงไปกว่า 3% หลังข้อมูลภาคการผลิตสหรัฐฯที่ออกมาแย่ยิ่งตอกย้ำความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่ปัญหาข้อขัดแย้งการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ยังดำเนินไปก็ดูจะกดดันความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุน

น้ำมันดิบ WIT ปิดลดลง 1.68 เหรียญ หรือ -3.1% ที่ระดับ 53.42 เหรียญ/บาร์เรล โดยระหว่างวันทำต่ำสุดตั้งแต่ 9 ส.ค. ที่ 52.84 เหรียญ/บาร์เรล

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 92 เซนต์ หรือ -1.6% ที่ระดับ 57.74 เหรียญ/บาร์เรล หลังไปทำต่ำสุดตั้งแต่ 9 ส.ค. ที่ระดับ 57.23 เหรียญ/บาร์เรล




บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com