• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 2 กันยายน 2562

    2 กันยายน 2562 | Economic News


· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น ในขณะที่เงินหยวนอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 25 ปี จากการที่สหรัฐฯและจีนมีการขึ้นภาษีทางการค้าระหว่างกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา แต่ความตึงเครียดก็บรรเทาลงไปบ้างหลังวันศุกร์ทั้ง 2 ฝ่ายสะท้อนว่าจะกลับมาเจรจากันในเดือนก.ย.


ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.45% ที่ 98.95 จุด ขณะที่หยวนอ่อนค่า 0.2% ที่ระดับ 7.157 หยวน/ดอลลาร์ โดยเดือนส.ค. มีการอ่อนค่ามากถึง 3.6% ซึ่งเป็นอัตราการอ่อนตัวรายเดือนที่มากที่สุดตั้งแต่ปี 1994


นอกจากนี้ รายงานข้อมูลค่าใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐฯที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนก.ค. เพราะได้รับอานิสงค์จากภาคครัวเรือนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนดอลลาร์

· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับขึ้นมาทรงตัวบริเวณ 1.52% ขณะที่ผลตอบแทน 30 ปีปรับขึ้นมาแถว 1.983% โดยตลาดค่อนข้างให้ความสำคัญกับความคืบหน้าของสงครามการค้า จากการที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีนส่งสัญญาณคลายความตึงเครียดกับสหรัฐฯ ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มมีการคุยกันอีกครั้งเมื่อวันพฤหัสบดี ที่น่าจะมีการพูดคุยกันเพิ่มเติมถึงกำหนดการในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้

ความตึงเครียดของสงครามการค้าดังกล่าว ดูจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความปั่นป่วนให้แก่ตลาด และทำหุ้นทั่วโลกแกว่งตัวแรงด้วยเช่นกัน

· รายงานจาก BBC ระบุว่า เมื่อวานนี้สหรัฐฯมีการประกาศขึ้นภาษีรอบใหม่จากจีนอีก 1.12 แสนล้านเหรียญในกลุ่มรองเท้า, ผ้าอ้อม และอาหาร ซึ่งความตึงเครียดครั้งใหม่อาจส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือนมากถึง 800 เหรียญ/ปี และในช่วงแรกนายทรัมป์ยังมีแผนจะขึ้นภาษีจีนอีก 15% มูลค่า 3 แสนล้านเหรียญภายในช่วงสิ้นปีนี้



ขณะที่ทางการจีนตอบโต้กลับด้วยการเรียกเก็บภาษีน้ำมันสหรัฐฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กลุ่มพลังงานเป็นป้าหมายของสงครามการค้าครั้งนี้


อย่างไรก็ตาม นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สื่อถึงการตั้งเป้าที่จะเก็บภาษีจีนทั้งสิ้นเป็นมูลค่า 5.5 แสนล้านเหรียญ ในขณะที่จีนมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมและมองว่าเป็นปัญหาทางการเมือง

· ล่าสุด นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เคยเรียกร้องให้บริษัทสหรัฐฯย้ายฐานการผลิตกลับเข้ามาในสหรัฐฯ แต่หลายบริษัทดูเหมือนจะเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว โดยบรรดา CEO ของบริษัทนับสิบ ได้ส่งสัญญาณจะกระจายฐานการผลิตออกไปสู่ต่างประเทศ ท่ามกลางความตึงเครียดจากสงครามการค้าที่เพิ่มขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อย่าง HP Inc. และ Dell Technologies เคยมีรายงานว่า พวกเขากำลังย้ายฐานการผลิตโน็ตบุคกว่า 30% ออกจากประเทศจีน

· นายเจเรมี โคบลิน หัวหน้าฝ่ายค้านในรัฐสภาอังกฤษ ประกาศว่าจะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดกรณี No-deal Brexit หลังรัฐสภาจะมากลับดำเนินงานอีกครั้งในวันอังคารนี้

ขณะที่บรรดา ส.ส. ที่ไม่เห็นด้วยกับ No-deal Brexit จะมีการผลักดันร่างกฏหมายที่จะป้องกันไม่ให้นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สามารถปล่อยให้อังกฤษถอนตัวออกจากอียูแบบ No-deal ได้ ภายในสัปดาห์นี้


อย่างไรก็ตาม นายไมเคิล โกฟ รัฐมนตรีอาวุโสในรัฐสภาอังกฤษเตือน ไม่มีอะไรสามารถรับรองได้ว่ารัฐสภาจะให้การสนับสนุนร่างนโยบายดังกล่าว

· นายกรัฐมนตรีอิตาลีแสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถสรุปข้อตกลงในการรวมพรรคระหว่าง 5-Star Movement กับ Democratic Party ได้ภายในวันพุธนี้ โดยตัวแทนทั้ง 2 พรรคมีการเจรจาที่คืบหน้าอย่างมากเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

· กิจกรรมภาคอุตสาหกรรมในเดือน ส.ค. ของญี่ปุ่น ชะลอตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ท่ามกลางปริมาณอุปสงค์ที่อ่อนแอ จึงยิ่งตอกย้ำถึงทิศทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยสดใสนักของญีปุ่น โดยดัชนี PMI เดือน ส.ค. ปรับลดลงสู่ระดับ 49.3 จุด จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 49.5 จุด เทียบกับเดือน ก.ค. ที่ 49.4 จุด

นักวิเคราะห์จาก IHS Markit ระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากปริมาณอุปสงค์จากที่อ่อนแอทั่วทวีปเอเชีย โดยเฉพาะจากประเทศจีน จึงอาจกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก

· ผู้ชุมนุมประท้วงชาวฮ่องกงนับหลายพันคนได้ปิดถนนและเส้นทางเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติฮ่องกงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อต่อสู้เรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยจากรัฐบาลฮ่องกงที่ถูกชักใยโดยรัฐบาลจีน

โดยถึงแม้ว่าเครื่องบินจะยังสามารถบินเข้า-ออกสนามบินได้ แต่ตารางบินถูกทำให้ล่าช้าออกไปหลายเที่ยวบินด้วยกัน ขณะที่รถไฟใต้ดินบริเวณสนามบินไม่สามารถเดินขบวนได้ เนื่องจากการก่อความไม่สงบของผู้ชุมนุมในพื้นที่สถานีรถไฟใต้ดิน

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงคืนวันศุกร์ก่อนที่พายุเฮอริเคนจะเคลื่อนไหวใกล้ชายฝั่งฟลอริด้า และดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะลดอุปสงค์น้ำมัน แต่ภาพรวมรายสัปดาห์ถือว่าเป็นการปรับขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ช่วงต้นเดือนก.ค. จากกรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ผ่อนคลายลง

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 65 เซนต์ หรือ -1.1% ที่ระดับ 60.43 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.61 เหรียญ หรือ -2.8% ที่ระดับ 55.10 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com