• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 3 กรกฎาคม 2562

    3 กรกฎาคม 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ยังคงถูกกดดันหลังจากที่อ่อนค่าลงมาจากระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ หลังมุมมองเชิงบวกที่มีต่อการสงบศึกระหว่างสหรัฐฯ-จีนเริ่มอ่อนแอลง ส่งผลให้ตลาดกลับเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยและกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯลดลง

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 96.742 จุด หลังจากเมื่อวานนี้อ่อนค่าลงมาจากระดับ 96.875 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวันที่ 20 มิ.ย.

· ค่าเงินปอนด์ทรงตัวแถว 1.2597 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากเมื่อวานนี้อ่อนค่าลง 0.35% จากระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ที่ 1.2584 ดอลลาร์/ปอนด์


ถ้อยแถลงของประธานบีโออีระบุว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและ Brexit เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจอังกฤษ ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายเข้ามาช่วยรับมือกับการชะลอตัว จึงทำให้ตลาดมีกระแสคาดการณ์ว่าทางบีโออีจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินในเร็วๆนี้

· ด้านค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1291 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากเมื่อวานมีการเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1.1275 – 1.1322 ดอลลาร์/ยูโร โดยค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังมีสัญญาณว่าอีซีบีอาจไม่เร่งรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก่อนที่จะปรับลดลงหลังมีข่าวว่า คณะกรรมประจำสหภาพยุโรป เสนอชื่อนางคริสทีน ลาร์การ์ด ประธาน IMF ให้ดำรงตำแหน่งประธาน ECB ซึ่งอาจทำให้นโยบายการเงินดำเนินไปทางผ่อนคลายมากขึ้น

· บรรดานักลงทุนในค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับยูโรจะจับตาการประกาศตัวเลข ISM non-manufacturing PMI เดือน มิ.ย. ของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะออกมาชะลอตัวลงสู่ระดับ 56.0 จากเดิมที่ 56.9 จุด ซึ่งสอดคล้องกับกระแสคาดการณ์ส่วนใหญ่ที่เชื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังชะลอตัวลง

EURUSD TECHNICAL ANALYSIS



หากตัวเลขดังกล่าวประกาศออกมาอ่อนแอลงตามคาด มีความเป็นไปได้ที่ค่าเงินยูโรจะกลับมาแข็งค่า ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์จะถูกเทขายลง เนื่องจากจะเป็นปัจจัยที่หนุนกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย แต่ในทางกลับกัน หากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งผิดคาด ค่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลงต่อ ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เนื่องจากตลาดจะมีมุมมองว่า เฟดอาจไม่มีความจำเป็นต้องรีบปรับลดดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่การประกาศตัวเลขออกมาอ่อนแอ จะทำให้ตลาดเกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และพากันเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างค่าเงินดอลลาร์แทน ไม่ว่าผลจะออกมาในทางไหนก็ตาม โอกาสที่ค่าเงินยูโรจะกลับขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 1.1347 ดอลลาร์/ยูโร ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ต่ำในระยะสั้น เนื่องจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจน่าจะส่งผลบวกค่าเงินดอลลาร์ในระดับหนึ่ง

· ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัว ต่ำกว่าระดับ 1.1300 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ข่าวการเสนอชื่อนางคริสทีน ลาร์การ์ด ประธาน IMF ให้ดำรงตำแหน่งประธานอีซีบีคนต่อไป ซึ่งอาจทำให้อีซีบีมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น ดูจะไม่ส่งผลกระต่อค่าเงินมากนัก เนื่องจากตลาดกำลังจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯในคืนนี้

· นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุว่า รัฐบาลจะเดินหน้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 8% เป็น 10% ตามแผนเดิม แต่หลังจากนั้นรัฐบาลไม่มีแผนที่จะปรับขึ้นระดับภาษีภายในช่วงวาระของเขาแต่อย่างใด และมองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราภาษีไปอีกอย่างน้อย 10 ปี

· คณะกรรมการบีโอเจ ส่งสัญญาณว่า ทางบีโอเจมีแนวโน้มที่จะขยายระยะเวลาคงนโยบายการเงินไว้ที่ระดับผ่อนคลายเป็นพิเศษออกไปจากกรอบเวลาเดิม ซึ่งเป็นสัญญาณว่าทางบีโอเจมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงภายในเศรษฐกิจโลก และอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นที่ยังซบเซา

สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ในระดับปานกลาง ท่ามกลางปริมาณอุปสงค์จากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น จึงช่วยหนุนภาคส่งออกของญี่ปุ่นได้

· รายงานจาก Reuters ระบุว่า เจ้าหน้าระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ส่งอีเมลล์ไปยังเจ้าหน้าภายในกระทรวง ซึ่งมีเนื้อหาให้คงการปฏิบัติกับบริษัท Huawei เสมือนกับว่าบริษัทฯยังคงมีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำ โดยเฉพาะในการพิจารณาอนุมัติให้บริษัทสหรัฐฯค้าขายกับ Huawei รายงานดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯระบุว่าจะผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร Huawei

· หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯแสดงความไม่พึงพอใจต่อกรณีที่อิหร่านถูกตรวจสอบพบว่ามีการถือครองแร่ยูเรเนียมเกินเพดานที่กำหนดไว้ในข้อตกลงนิวเคลียร์ ล่าสุด ตัวแทนทางการทูตจากอียู ฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษ ต่างออกมาเรียกร้องให้อิหร่านพิจารณาลดการถือครองแร่ยูเรเนียมกลับอยู่ภายในกรอบที่กำหนดไว้


· ราคาน้ำมันดิบทรงตัว หลังจากที่ร่วงลงไปเมื่อช่วงก่อนหน้า ท่ามกลางการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร แม้ว่าจะมีความกังวลเกียวกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวที่อาจจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์การใช้น้ำมันชะลอตัวลง

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.2% ที่ระดับ 62.52 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTO เพิ่มขึ้น 0.3% ที่ระดับ 56.41 เหรียญ/บาร์เรล

ทั้งนี้ โอเปกจะควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันดิบอีก 9 เดือน เพื่อพยุงราคาน้ำมันที่ถูกกดดันจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯที่เพิ่มสูงขึ้น โดยตกลงที่จะขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงเดือนมี.ค. ปี 2020





บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com