• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2562

    7 มิถุนายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มปิดตลาดรายสัปดาห์แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ก่อนหน้าการประกาศข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯในคืนนี้ โดยคาดการณ์ว่าจะออกมาแย่ลง จึงอาจหนุนแนวโน้วที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวในระดับแข็งค่า หลังการประชุมอีซีบีเมื่อคืนส่งสัญญาณผ่านคลายทางการเงินน้อยกว่าที่ตลาดคาด

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 97.042 จุด เคลื่อนไหวสูงกว่าระดับต่ำสุดในรอบ 8 สัปดาห์ที่ 96.749 จุด ขึ้นมาประมาณ 0.3%

สำหรับภาพรวมรายสัปดาห์ ดัชนีมีแนวโน้มปิดตลาดอ่อนค่าลง 0.72% ซึ่งเป็นผลประกอบการที่แย่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. ที่ปิดอ่อนค่าลงไป 0.73%

ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่ามากกว่า 0.5% เมื่อคืนนี้ หลังการประชุมอีซีบี ที่ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินน้อยกว่าที่ตลาดคาด


ส่วนวันนี้ ค่าเงินยูโรอ่อนค่าเล็กน้อยประมาณ 0.05% บริเวณ 1.1269 ดอลลาร์/ยูโร แต่มีแนวฌน้มปิดตลาดรายสัปดาห์ปรับแข็งค่าขึ้นได้ 0.9% ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่อาจมีผลประกอบการดีที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. ปีก่อน ที่ปรับขึ้นไปได้ 1.1%



· นักวิเคราะห์จาก FXStreet เผยว่า ค่าเงินเยนมีการปรับฐานในทิศทางอ่อนค่า แต่ก็ยังไม่สามารถฝ่าไปดไ้และล่าสุดกลับแข็งค่าลงมาแถว 108.4 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งภาพรวมค่าเงินเยนมีการเทรดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยราย 23.6% โดยเมือวานนี้ทำระดับแข็งค่ามากที่สุดของวันที่ 108.3 เยน/ดอลลาร์ ในเชิงเทคนิคยังมีโอกาสเห็นค่าเงินรีบาวน์ กลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways

ทั้งนี้ ค่าเงินเยนอาจกลับมาอ่อนค่าได้อีกหากข้อมูลจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯออกมาแข็งแกร่ง

แนวรับ: 1108.30 108.05 107.85


แนวต้าน: 108.60 109.00 109.40



· นอกจากนี้ ค่าเงินยูโรยังปรับแข็งค่าขึ้นไปทำ High ที่ 1.1309 ดอลลาร์/ยูโร หลังอีซีบีตัดสินใจคงดอกเบี้ย และหลังทราบถ้อยแถลงของนายดรากี้ ที่สนับสนุนการแข็งค่าขึ้นของยูโร

ดังนั้น การยืนเหนือ 1.1309 ดอลลาร์/ยูโร ดูจะยังเป็นขาขึ้นสำหรับค่าเงินยูโร และหากระดับวันยังยืนเหนือระดับดังกล่าวได้อย่างแข็งแกร่ง ก็มีโอกาสเห็นยูโรพุ่งกลับไปแถวระดับสูงสุดตั้งแต่ 20 มี.ค. บริเวณ 1.1448 ดอลลาร์/ยูโร

ในทางตรงข้าม หากค่าเงินยูโรร่วงหลุด 1.12 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญก็มีโอกาสเห็นค่าเงินยูโรร่วงกลับลงไปใกล้ต่ำสุดเดิมเมื่อไม่นานมานี้บริเวณ 1.11 ดอลลาร์/ยูโร

· หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Westpact กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มจะทำการปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือน ก.ย. และเดือนธ.ค. ของปีนี้ ท่ามกลางความหลากหลายทางปัจจัยใหม่ๆ ทั้งสภาวะการเมืองที่คาดเดาไม่ได้ และเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจเผชิญกับผลกระทบเชิงลบจากการตัดสินใจลงทุนและกลุ่มผู้บริโภค รวมทั้งความเชื่อมั่นทางด้านธุรกิจ

· นักเศรษฐศาสตร์ชี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟด จะไม่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าได้

นายนาธาน ชีทส์ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบัน PGIM Fixed Income ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC โดยแสดงความคิดเห็นว่า ทางเฟดอาจใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน อย่างเช่นการปรับลดดอกเบี้ย เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เศรษฐกิจจะได้รับจากการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้าเม็กซิโกและจีน

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะไม่สามารถบรรเทาความเสียหายได้ทั้งหมด อีกทั้ง ทางเฟดอาจไม่สามารถดำเนินการได้เร็วพอที่จะช่วยเหลือเศรษฐกิจได้ และเชื่อว่า หากสหรัฐฯต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ก็จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นบนโต๊ะเจรจาเท่านั้น

ขณะที่นางโรบิน บรูคส์ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบัน Institute of International Finance ที่ให้สัมภาษณ์ในรายการเดียวกัน มีความคิดเห็นว่า ความตึงเครียดของตลาดที่เกิดจากการขึ้นภาษี และความตึงเครียดทางการค้า กำลังสร้างความเสียหายให้กับบรรดาตลาดเกิดใหม่ โดยมีสัญญาณที่เห็นได้อย่างชัดเจน และมีมุมมองว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟด ไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือเศรษฐกิจเหล่านี้ได้

· นายฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีบราซิล ระบุว่า บรรดาประเทศในแถบอเมริกาใต้ จะร่วมลงนามในสัญญาทางการค้ากับสหภาพยุโรปเร็วๆนี้ พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณ นายมัวริซิโอ้ แมครี ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา สำหรับบทบาทสำคัญของการผลักดันให้เกิดการลงนามในสัญญาดังกล่าว

· รายงานจาก The Times ระบุว่า บรรดาเจ้าหน้าที่อาวุโสในสหภาพยุโรป มีแนวคิดสนับสนุนให้ขยายระยะเวลาของ Brexit ออกไปอีก โดยไม่เกี่ยวว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำอังกฤษ แทนนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ทั้งนี้ มีรัฐบาลอย่างน้อย 25 ประเทศในสหภาพยุโรป ที่พร้อมจะขยายระยะเวลาให้กับ Brexit แม้ทางบรรดาผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำอังกฤษ จะยืนยันว่าอังกฤษจะถอนตัวออกจากสหภาพตามกำหนดการเดิม คือวันที่ 31 ต.ค. ก็ตาม

คืนนี้เวลา 19.30น. จะมีการประกาศข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯประจำเดือนพ.ค. ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 263,000 ตำแหน่ง ทางด้านการจ้างงานในภาคการผลิตมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เดือนก่อนหน้ามีการจ้างงานที่ 4,000 ตำแหน่ง ด้านเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มที่ 175,000 ตำแหน่ง หลังขยายตัวได้ 263,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ทางด้านอัตราว่างงานคาดจะทรงตัวที่ 3.6% ขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยรายชม. มีแนวโมจะเพิ่มขึ้นแตะ 0.3% ในเดือนพ.ค. จากเดิมที่ 0.2% ในเดือนเม.ย. แต่ภาพรายปีน่าจะยังทรงตัวที่ 3.2%

ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯคือภาพใหญ่ที่จะสะท้อนถึงภาวะตลดาแรงงาน แต่ข้อมูลทางสถิติอีก 3 ส่วนก็ดูจะยังบ่งชี้ได้ถึงภาวะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง

- ADP เผย จ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯดิ่งลงแตะ 27,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. หลังจากที่เดือนเม.ย. มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นแตะ 275,000 ตำแหน่ง

- จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานราย 4 สัปดาห์มีค่าเฉลี่ยที่ 216,750 คน

- ดัชนี PMI ภาคการผลิตขยายตัวได้ 53.7 จุด ขณะที่ภาคบริการขยายตัวที่ 58.1 จุดในเดือนนี้



โดยเฉพาะข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯที่ปรับตัวลงต่อเนื่องยัง และก็ยังไม่มีสัญญาณใดๆที่สะท้อนว่าจะเป็นปัญหาต่อการจ้างงานสหรัฐฯ

· เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าจะทำการตัดสินใจว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นจำนวน 3 แสนล้านเหรียญ หลังจากจบการประชุม G20 ในเดือนนี้

· รองประธานสถาบัน BlackRock มีมุมมองว่า สหรัฐฯและจีนอาจสามารถหาข้อตกลงทางการค้าได้ภายในช่วงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าว จะไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ทั้งหมด เพียงแต่จะช่วย “ลดช่องว่าง” ของทั้ง 2 ประเทศได้เท่านั้น

นอกจากกรณีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนแล้ว ตลาดยังมีความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษีสินค้าเม็กซิโกของสหรัฐฯ ดังนั้น แม้สหรัฐฯ-จีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า ความเชื่อมั่นของตลาดก็จะยังคงถูกกดดันอยู่ดี

· ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 1.9% ขณะที่ยอดส่งออกลดลง 3.7% ซึ่งปรับตัวลดลงมากที่สุดตั้งแต่เดือนส.ค. ปี 2015 ท่ามกลางความเปราะบางของเศรษฐกิจยุโรปที่ชะลอตัวลงจากแรงเสียดทานทางการค้าและความไม่แน่นอนของ Brexit

· กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศเพิ่มความคุมเข้มในมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลา โดยล่าสุด ทางเว็บไซท์ของกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศว่า การส่งออกสารเจือจางที่ใช้ในกระบวนการผลิตน้ำมันของ PDVSA ที่เป็นรัฐวิสากิจของเวเนซุเอลา จะถูกห้ามการส่งออกภายใต้มาตรการคว่ำบาตรเช่นกัน

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 1% โดยเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน หลังจากรายงานที่ว่าสหรัฐฯกำลังพิจารณาเลื่อนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและสัญญาณที่ว่ากลุ่มโอเปกและผู้ผลิตอื่นๆอาจจะขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบ

โดยราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.2% ที่ระดับ 53.24 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 1.3% ที่ระดับ 62.46 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com