• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2562

    30 พฤษภาคม 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าสู่ระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯช่วยกระตุ้นให้เหล่านักลงทุนกลับเข้าหาค่าเงินดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

ขณะที่ตลาดการเงินของสหรัฐฯประเมินว่าเฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประมาณ 2 ครั้ง ภายในเดือนม.ค.ปี 2020 ในขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรกลับสู่ภาวะผกผันอีกครั้งเมื่อคืนนี้ จึงสะท้อนว่ามีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเผชิญภาวะถดถอย ท่ามกลางอุปสงค์ของดอลลาร์ที่ดูไม่มีสัญญาณว่าจะสิ้นสุดลง

โดยดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าที่บริเวณ 98.22 จุด เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่อย่างเช่น ค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์ ซึ่งปรับแข็งค่าติดต่อกัน 4 เดือน

· ขณะที่นักกลยุทธ์ประจำ Commerzbank FX Ulrich Leuchtmann ระบุว่า การปรับแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์เป็นที่น่าประหลาดใจเนื่องจากตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งภายในปี 2020

· นักลงทุนยังมีท่าทีระมัดระวังต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แม้ว่าเราจะเห็นการปรับตัวขึ้นได้บางช่วงของตลาดหุ้นยุโรป และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็ยังมีการเคลื่อนไหวส่งสัญญาณเตือนถึงภาวะถดถอย

· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 เดือนและอายุ 10 ปี เคลื่อนไหวผกผันกัน โดยจะเห็นได้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัลดลงทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปี 2017 ซึ่งภาวะผกผันที่เกิดขึ้นทำให้ตลาดการเงินมองว่าสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย

· ทางด้านค่าเงินเยนทรงตัวที่ระดับ 109.59 เยน/ดอลลาร์ โดยปรับอ่อนค่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่บริเวณ 109.02 เยน/ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา

· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลก็ยังคงปรับตัวลงต่อในเช้าวันนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่จับตาไปยังความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นมาเล็กน้อยแถว 2.2675% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ที่ระดับ 2.6903%

อย่างไรก็ดี สำหรับคืนนี้จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อันได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และประมาณการณ์จีดีพี และข้อมูลดุลการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งยอดขออนุมัติรอปิดการขายของสหรัฐฯ

· ในขณะที่หลายๆประเทศเป็นกังวลเกี่ยวกับการที่สหรัฐฯออกโรงเตือนเรื่องบริษัทหัวเว่ยนั้นไม่น่าเชื่อถือ ทางนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซียก็ดูจะแสดงความเชื่อมั่นว่าจะยังใช้เทคโนโลยีจากหัวเว่ยต่อไป เพราะประเทศมาเลเซียเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่จะได้รับผลกระทบจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของหัวเว่ย ดังนั้น ทางมาเลเซียจึงจะพยายามใช้เทคโนโลยีของบริษัทเทคโนโลยีดังกล่าวให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได จึงดูเหมือนว่าผู้นำมาเลเซียจะไม่ได้จะไม่ได้เป็นกังวลว่าบริษัท หัวเว่ย เป็นภัยคุกคามต่อประเทศ

· นักการทูตอาวุโสของจีน ระบุว่า ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าอาจเป็นการก่อการร้ายทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความตึงเครียดท่ี่เพิ่มขึ้นกับทางสหรัฐฯ และ Trade War ในเวลานี้ก็ดูจะยังไม่มีสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

· รองรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่า จีนอาจมีการใช้ "ไม้ แข็ง" ซึ่งคล้ายกับการคว่ำบาตรทางการค้า, การขึ้นภาษีสินค้านำเข้า และการกีดกันทางการค้าได้ แม้ว่าจีนจะไม่เห็นด้วยกับ Trade War แต่ก็ไม่ได้เกรงกลัวต่อTrade War ซึ่งข้อพิพาททางการค้าเปรียบเสมือนพิษร้ายต่อเศรษฐกิจ และทุกๆคนจะเผชิญความสูญเสียจาก Trade War

อย่างไรก็ดี รองรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน เผยว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนจะมีการเดินทางเยือนรัสเซียในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นการลงทุนที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

· รายงานจากรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า จีนมีความตัั้งใจจะประชุมเรื่องความเหมาะสมของอุปสงค์แร่หายาก (Rare Earth) จากประเทศอื่นๆ แต่ก็อาจไม่ได้รับการการตอบรับจากบางประเทศที่ใช้แร่หายากของจีนในการผลิตสินค้าที่อาจไม่เห็นด้วยและคัดค้านต่อการกระทำดังกล่าว

อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ก็ยังไม่ได้ระบุว่าจะจัดการประชุมดังกล่าวหรือไม่ และไม่ได้มีการประกาศรายชื่อประเทศใดๆออกมา

· รักษาการผู้ว่าการประธานธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจอังกฤษมีแววจะชะลอตัวกว่าที่ทางบีโออีได้คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นเดือน อันเนื่องมาจากการปราศจากประสิทธิผลทางการผลิต และความเสี่ยงในภาคลงทุนที่ดูจะอ่อนแอกว่าที่คาด

· นายมาโกโตะ ซากูเรอิ หนึ่งในสมาชิกบีโอเจ กล่าวเตือนถึงความประมาณที่เพิ่มขึ้นต่อการดำเนินนโยบายเพื่อให้เงินเฟ้อปรับขึ้น ซึ่งเงินเฟ้ออ่อนตัวในสภาวะที่ปัจจัยทางโครงสร้างต่างๆกำลังส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น

อย่างไรก็ดี เขายังบอกว่า บีโอเจอาจมีการตัดสินใจปรับนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายให้เหมาะสมหากจำเป็นในอนาคต

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น หลังจากรายงานอุตสาหกรรมพบว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯร่วงลงมากกว่าที่คาด แม้ว่าความไม่แน่นอนเกียวกับสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดภาวะตกต่ำก็ตาม

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.6% ที่ระดับ 69.85 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.8% ที่ระดับ 59.29 เหรียญ/บาร์เรล

· สถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 24 พ.ค. 62 ปรับตัวลดลง 5.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 474.4 ล้านบาร์เรล

นอกจากนั้นราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตจากองค์กรของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และผู้ผลิตรายใหญ่อื่น ๆ รวมถึงภาวะอุปทานที่ลดลงจากอิหร่าน

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com