• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2562

    30 พฤษภาคม 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น แม้ว่ากลุ่มนักลงทุนจะให้ความสนใจไปยังการลงทุนในทองคำและพันธบัตรมากขึ้นด้วยในฐานะ Safe-Haven จากกรณีที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศไม่มีสัญญาณว่าจะยุติ

ความกังวลเรื่องสงครามการค้าทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดค่าเงินของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ อาทิ ค่าเงินแรนด์ ของแอฟริกันใต้, ค่าเงินเรียลของบราซิล และค่าเงินกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์อย่างออสเตรเลียดอลลาร์และนิวซีแลนด์ดอลลาร์

ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นอีก 0.23% ที่ระดับ 98.173 จุด โดยยังอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดรอ บ 2 ปีที่ทำไว้ในสัปดาห์ที่แล้วบริเวณ 97.908 จุด สำหรับค่าเงินหยวนมีการปรับอ่อนค่าลงมาใกล้ๆบริเวณอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 5 เดือนครึ่ง บริเวณ 6.9130 หยวน/ดอลลาร์

· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯระยะยาวปรับตัวลงต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนระยะสั้นอีกครั้ง และการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติแบบนี้ได้สร้างความกังวลต่อตลาดสหรัฐฯเกี่ยวกับการเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย

โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 เดือน ยืนสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีอีกครั้ง และภาวะดังกล่าวที่เคยเกิดขึ้นเคยเผชิญในช่วงวิกฤตการเงิน โดยอัตราผลตอบแทน 3 เดือนปรับมาที่ 2.362% ขณะที่ระยะยาว 10 ปี ร่วงลงแตะ 2.26% แตะระดับต่ำสุดตั้งแต่ก.ย. ปี 2017

รายงานจาก CNBC ระบุว่า กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนหลายรายเชื่อว่า ภาวะผกผันดังกล่าวถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลก

นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์กันว่าภาวะผกผันและปัจจัยต่างๆจะส่งผลให้เฟดทำการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยได้ในช่วงสิ้นปีนี้ ประกอบกับนโยบายปรับลดภาษีของทรัมป์ดูจะเลือนหายไป ท่ามกลางภาวะข้อขัดแย้งทางการค้าที่ดูจะเป็นปัจจัยหลัก

นักวิเคราะห์บางราย พิจารณาว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในยุโรปขณะนี้ก็ดูมีเสถียรภาพลดน้อยลง และเศรษฐกิจจีนตลอดจนยุโรปมีแนวโน้มจะอ่อนแอลง ดังนั้น ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลกน่าจะเป็นไปอย่างผันผวน และความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกจะเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้แก่เศรษฐกิจสหรัฐฯด้วยเช่นกัน

· The People’s Daily หนังสือพิมพ์ชื่อดังของจีน แสดงคำเตือนอย่างชัดเจนว่า จีนอาจทำการระงับการส่งแร่แรร์เอิร์ธเพื่อเป็นการตอบโต้สงครามการค้าที่เกิดขึ้นกับทางสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯไม่ควรประเมินความสามารถของจีนในระดับต่ำสำหรับการหาทางป้องกันสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศ โดยที่เราไม่เคยพูดว่าเราไม่เคยเตือนคุณ และดูเหมือนประเด็นนี้จะทำให้ทั้งสองประเทศอาจเข้าสู่สงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งการกล่าวในเชิงดังกล่าวดูเหมือนว่าจะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งในหน้าประวัติศาสตร์จีน ครั้งแรกในปี 1962 ก่อนที่จีนจะมีสงครามพรมแดนกับอินเดีย และก่อนปี 1979 ที่เคยเกิดสงครามจีน-เวียดนาม

· รายงานล่าสุดจาก Reuters รายงานว่า ทางโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยว่า ทางกระทรวงกลาโหมมีการนำเสนอรายงานต่อสภาคองเกรสเกี่ยวกับประเด็นแร่หายากหรือ Rare Earth เพื่อพยายามลดความพึ่งพาจากทางจีน โดยที่กระทรวงกลาโหมมีการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับประธานาธิบดี, สภาคองเกรส รวมทั้งภาคอุตสาหกรรม เพื่อหารือถึงแนวทางการลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีน

· เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม แสดงความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนว่าอาจทำให้เกิดความซับซ้อนมากขึ้นหากนำประเด็นความมั่นคงเข้าสู่การหารือร่วมกันระหว่างสองประเทศ เนื่องจากข้อแตกต่างทางการค้าเป็นสิ่งที่เราจะมุ่งแก้ปัญหานั้น และสำคัญกว่าที่เราจะไม่แก้ไขมันเลย ดังนั้น เขาจึงไม่เชื่อว่าเรื่องของกระทรวงกลาโหมหรือความมั่นคงแห่งชาติจะเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกไปหารือในการเจรจาทางการค้า

· รายงานจากภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษ พบว่า กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ของอังกฤษปรับตัวอ่อนลงในเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตทางการเงิน อันเป็นผลมาจากภาวะ Brexit ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยทางSMMT เผยข้อมูลการผลิตรถยนต์ดิ่งลง 44.5% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 70,971 ยูนิตในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดรอบ 10 ปี และสะท้อนว่า Brexit จะเป็นตัวนำพาให้เศรษฐกิจอังกฤษเข้าสู่ภาวะถดถอย

· ขณะที่รายงานจาก Think Tank สะท้อนว่า อังกฤษควรที่จะมีท่าทีระมัดระวัง พร้อมชะลออัตราการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะทำให้แรงงานรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น

· รายงานจาก Reuters ระบุว่า ทางเกาหลีเหนือมีการตำหนิทางสหรัฐฯที่แสดงความแย่ต่อการเจรจาเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์และการทดสอบขีปนาวุธ รวมทั้งการฝึกกำลังทหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความปรารถนาอันชั่วร้ายที่สหรัฐฯต้องการจะเอาชนะเกาหลีเหนือด้วยการบังคับมากกว่าที่จะเป็นการเจรจา

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงท่ามกลางความผันผวนในตลาด และถูกกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้น หลังจีนมีการส่งสัญญาณตึงเครียดมากขึ้นกับทางสหรัฐฯ จึงจุดประกายความกังวลที่จะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ และกลายเป็นประเด็นหลักที่เข้ากดดันความพยายามของกลุ่มโอเปกในการปรับลดอุปทานตามข้อตกลง และปัญหาตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เป็นปัจจัยบวกต่อตลาด

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 66 เซนต์ หรือ -0.9% ที่ระดับ 69.46 เหรียญ/บาร์เรล หลังไปทำต่ำสุดที่ 68.08 เหรียญ/บาร์เรล

น้ำมันดิบ WTI ปิด -0.6% ที่ระดับ 58.81 เหรียญ/บาร์เรล หลังไปทำต่ำสุดตั้งแต่ 12 มี.ค. ที่ระดับ 56.88 เหรียญ/บาร์เรล

ทั้งนี้ น้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิดต่างปรับตัวลงเป็นเดือนแรกในรอบ 5 เดือน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com