• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2562

    27 พฤษภาคม 2562 | Economic News


· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ หลังจากที่ข้อมูลกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐฯยังคงอ่อนตัว ก่อให้เกิดความกังวลว่าภาวะขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะบั่นทอนเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ และหนุนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย


ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.2% ที่ระดับ 97.686 จุด หลังจากที่วันพฤหัสบดีไปทำ High รอบ 2 ปี ที่ 98.371 จุด






· คำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯที่ออกมาแย่ของสหรัฐฯ ประกอบกับการร่วงลงของข้อมูลภาคการผลิตที่ออกมาแตะระดับต่ำสุดรอบเกือบ 10 ปีในเดือนพ.ค. อันได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนเม.ย. ที่เป็นมาตรวัดบ่งชี้กิจกรรมการผลิต บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และจะเห็นได้ว่าประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้กำลังเกิดขึ้นในเอเชีย ตั้งแต่ข้อมูลเศรษฐกิจของสิงคโปร์ตลอดจนประเทศไทย



ขณะที่รางานจาก CNBC ระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 2/2019 คาดว่าจะขยายตัวได้ต่ำกว่า 2% หลังจากที่ไตรมาสแรกเติบโตได้ 3.2%



ทางด้านความตึงเครียดทางการค้าดูจะส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าจะเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้จำนวนหนึ่งครั้งในเดือนต.ค. และอีกหนึ่งครั้งประมาณเดือนม.ค. ปี 2020



· ค่าเงินปอนด์แข็งค่ากลับขึ้นมาจากระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 4 เดือนครึ่ง ขณะที่ยูโรปิดเหนือ 1.12 ดอลลาร์/ยูโร ไปทำระดับสูงสุดรอบ 1 สัปดาห์ ขณะที่เงินเยนแข็งค่ามาที่ 109.5 เยน/ดอลลาร์



· ค่าเงินยูโรทรงตัวใกล้ระดับ 1.1210 ดอลลาร์/ยูโร หลังการเลือกตั้งรัฐสภาอียูมีสัญญาณว่าพรรคการเมืองฝ่ายที่ให้การสนับสนุนอียูยังสามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาคิดเป็น 2 ใน 3 จากที่นั่งทั้งหมด



ส่งผลให้ตลาดคลายความกังวลว่าอาจเกิดนโยบายต่อต้านการอพยพ หรือต่อต้านการรวมตัวเป็นสหภาพจากตัวเต็งอย่างนางมารีน เลอ แปง ตัวแทนจากฝรั่งเศส หรือนายมัตเตโอ ซัลวินี รองนายกฯอิตาลี ลดน้อยลงไป




· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวลงทำระดับต่ำสุดในรอบหลายปี จากความกังวลเรื่อง Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีนที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญในระยะยาว รวมทั้งการขยายตัวของจีดีพีให้แย่ลงกว่าช่วงไตรมาสแรก



ทั้งนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ร่วงลงไปทำต่ำสุดที่ 2.292% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 16 ต.ค. ปี 2017 ก่อนจะทรงตัวที่ 2.324% ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอายุ 3 เดือน กลับมาปรับขึ้นเหนือผลตอบแทนระยะยาว 10 ปี ที่ 2.349%



· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวโจมตีเฟดอีกครั้ง โดยกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถเติบโตได้ด้วยอัตราที่มากกว่า 3% และดัชนีหุ้นจะสูงขึ้นได้ถึง 7,000 – 10,000 จุด หากเฟดไม่ดำเนินการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาโดยตลอด

ถ้อยแถลงของนายทรัมป์คราวนี้กล่าวต่อบรรดาผู้นำด้านธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นที่นายทรัมป์ร่วมประชุมระหว่างการเดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันเสาร์ที่ผ่านมา

· จีนเป็นผู้ถือครองตราสารหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯเป็นมูลค่ามากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการถือครองถึง 1.12 ล้านล้านเหรียญ หากจีนตัดสินใจเทขายตราสารหนี้เหล่านี้ เพื่อเป็นการตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐฯ จะทำให้ตลาดการเงินเกิดความผันผวนอย่างหนัก และอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งทางเลือกดังกล่าวถูกเรียกว่า “nuclear option”

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่า จีนยังไม่มีแผนที่จะใช้ตัวเลือกดังกล่าวในเร็วๆนี้แต่อย่างใด เนื่องจากจะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจีนเสียเอง

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าววันแรกในการเดินทางเยือนญี่ปุ่น โดยระบุว่า ความสัมพันธ์ทางการค้ากับญี่ปุ่นค่อนข้างแข็งแรง และเรียกร้องให้ภาคธุรกิจญี่ปุ่นมาลงทุนในสหรัฐฯมากขึ้น พร้อมระบุว่า สหรัฐฯและญี่ปุ่นค่อนข้างเข้าใกล้การบรรลุข้อตกลงทางการค้า หลังจากที่สหรัฐฯมียอดขาดดุลกับทางญี่ปุ่น 5.68 หมื่นล้านเหรียญในกลุ่มสินค้าและบริการเมื่อปี 2018 และทรัมป์ ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า ข้อตกลงระหว่างสองประเทศจะช่วยขจัดกำแพงการส่งอกสหรัฐฯ และสร้างความยุติธรรมและสานสัมพันธ์ที่แข็งแรงกับญี่ปุ่นต่อไป


· รัฐสภาอียูมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นรัฐสภาที่มีความแตกแยกภายในอยู่ในระดับสูงต่อไปอีก 5 ปีข้องหน้า โดย Exit poll ที่ประกาศเมื่อวันอาทิตย์แสดงให้เห็นว่า แม้พรรคการเมืองฝ่าย Liberal และ Green จะมีคะแนนนำก็ตาม แต่พรรคการเมืองที่ต่อต้านการรวมตัวเป็นสหภาพก็ได้รับเสียงสนับสนุนที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยเฉพาะจากฝรั่งเศสและอังกฤษ รวมถึงพรรคฝ่ายต่อต้านการอพยพข้ามประเทศจากอิตาลีก็มีคะแนนสูงขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้เช่นกัน

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นก่อนเข้าช่วงวันหยุดของสหรัฐฯและอังกฤษ แต่ภาพรวมรายสัปดาห์ก็ยังคงร่วงลงมากที่สุดรายปี อันได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯและความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 93 เซนต์ หรือ +1.4% ที่ระดับ 67.69 เหรียญ/บาร์เรล แต่ภาพรวมรายสัปดาห์คงอ่อนตัวไปกว่า 4.5% ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 1.2% ที่ 58.63 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วร่วงลงไปกว่า 6% เป็นระดับการอ่อนตัวรายสัปดาห์ที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของปีนี้


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com