ผลกระทบของ ได้เคยถูกประเมินไว้นับตั้งแต่การลงมติเมื่อปี 2016 ว่าอาจนำมาซึ่งแนวคิดการถอนตัวออกจากอียูของประเทศอื่นๆไม่ว่าจะเป็น Frexit (ฝรั่งเศส), Italexit (อิตาลี) หรือแม้กระทั่ง Nexit (เนเธอร์แลนด์)
และในปัจจุบัน ทุกสายตากำลังจับจ้องไปยังการเลือกตั้งรัฐสภาอียูที่จะเริ่มต้นภายในวันนี้ แต่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายในวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ค. ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่า พรรคการเมืองฝ่ายที่ต่อต้านการรวมตัวเป็นสหภาพอาจมีสิทธิมีเสียงมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้แนวคิดในการถอนตัวจะเริ่มลดน้อยลงไปก็ตาม (ยกเว้นอังกฤษ)
สาเหตุที่ทำให้แนวคิดถอนตัวลดน้อยลง?
สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะจากการที่ประชาชนเริ่มรับรู้ถึงความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกทวีปยุโรปที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่ว่าจะเป็น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือนายวลาดิเมีย ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ตลาดจนสงครามการค้า ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และการอพยพเข้าสู่ทวีปยุโรปจากส่วนอื่นๆของโลกที่ยากจนกว่า
จากปัจจัยข้างต้น ประชาชนยุโรปจึงมองว่า การรวมตัวเป็นปึกแผ่นเดียวกันเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด ทำให้แนวคิดการรวมตัวเป็นสหภาพยุโรปได้รับความนิยมมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปี 1980
อีกปัจจัยหนึ่ง คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับประเด็น Brexit ทำให้แนวคิดในการถอนตัว ดูไม่เหมาะสมอีกต่อไป
ดังนั้นจึงเริ่มเห็นได้ว่า บรรดานักการเมืองฝ่ายขวาจัด หรือฝ่ายที่ไม่สนับสนุนการรวมตัวเป็นสหภาพ อย่างเช่น นางมารีน เลอ แปน ผู้สมัครเลือกตั้งจากฝรั่งเศส หรือพรรคการเมืองของนายมัตเตโอ ซัลวินี รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี เริ่มหันมาใช้แนวคิด “เปลี่ยนแปลงอียูจากภายใน” มากกว่าการที่จะเดินออกจากกลุ่มไปโดยลำพัง
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่ให้การสนับสนุนแนวคิดแบบฝ่ายขวาจัด โดยพรรคฝ่ายซ้ายจัดอย่าง Podemos ของสเปน ก็ถูกคาดการณ์ว่าจะมีที่นั่งในรัฐสภาอียูมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาในการเลืกตั้งรัฐสภาอียูครั้งนี้ น่าจะคล้ายกับการเลือกตั้งทั่วไปของแต่ละประเทศอียู คือการที่พรรคการเมืองหัวสมัยใหม่มีสิทธิมีเสียงมากขึ้นในสภา
แต่สำหรับภาพรวมแล้ว เชื่อว่าฝ่ายที่สนับสนุนอียูจะยังเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากในสภาอียูหลังการเลือกตั้งเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา แต่ก็มีแนวโน้มที่จะกลายรัฐสภาที่แบ่งแยกเป็นฝ่ายๆออกไปมากขึ้นเช่นกัน
ที่มา: BBC