• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2562

    22 พฤษภาคม 2562 | Economic News


· ตลาดเอเชียดูจะตอบรับกับประเด็นข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 4 สัปดาห์เมื่อวานนี้ รวมไปถึงการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่เป็นหนึ่งในปัจจัยหนุนดอลลาร์ ขณะที่ข้อมูลจีดีพีสิงคโปร์ไตรมาสแรกของปีนี้อ่อนตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบทศวรรษ ทางด้านประเทศไทยจีดีพีปรับลงแตะระดับต่ำสุดรอบเกือบ 4 ปี และยิ่งเพิ่มความกังวลว่าประเทศเศรษฐกิจหลักๆของเอเชียจะได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระดับโลก



นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Commerzbank กล่าวว่า เอเชียดูจะตกที่นั่งลำบากในเวลานี้ อันจะเห็นได้จากประเทศไทยและสิงคโปร์ที่จีดีพีย่ำแย่ ขณะที่ยอดส่งออกในเกาหลีลดน้อยลง จึงสะท้อนว่า Trade War กำลังเข้ากระทบต่อแถบเอเชีย และกลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าด้วย และถึงแม้ตลาดหุ้นเอเชียจะมีปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐฯประกาศผ่อนคลายการแบนบริษัท Huawei เป็นการชั่วคราว แต่ตลาดหุ้นเอเชียก็ปรับตัวได้อย่างจำกัด เนื่องจากความไม่แน่นอนยังอยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนเหล่านี้จะส่งผลกระทบให้ภาคบริษัทอาจต้องกลับมาปรับลดแผนต่างๆ



· ดัชนีดอลลาร์เมื่อวานปิดปรับขึ้น 0.14% ที่ระดับ 98.07 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.2% ที่ 1.115 ดอลลาร์/ยูโร โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ประกอบกับการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปที่กำลังจะมาถึง



อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นทำระดับสูงสุดรอบ 1 สัปดาห์ที่ 2.435% อันได้รับอานิสงส์จากถ้อยแถลงของสมาชิกเฟดในเชิงบวก



· ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.54% ที่ 0.687 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หลังจากที่สมาชิกธนาคารกลางออสเตรเลียเผยว่าอาจมีการพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย.



· ค่าเงินปอนด์เผชิญแรงกดดันอีกครั้ง หลังผลสำรวจจากหลายๆสำนักแสดงให้เห็นว่า พรรค Brexit ที่นำโดยนายไนเจล ฟาราจ มีโอกาสจะสามารถครองที่นั่งในรัฐสภาอียูได้เป็นจำนวนมาก ประกอบกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่เป็นอีกปัจจัยที่กดดันค่าเงินปอนด์



นักวิเคราะห์จาก Invesco ระบุว่า หากฝ่ายสนับสนุน Brexit มีที่นั่งในรัฐสภาอียูมากขึ้น อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารของรัฐสภาได้



ทั้งนี้ ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าหลุดระดับ 1.27 ดอลลาร์/ปอนด์ ทำให้ภาพรวมรายเดือนอ่อนค่าลงไป 2.6% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ และอ่อนค่าลง 2% เมื่อเทียบกับเงินยูโร


· นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯจะน้อยกว่า 2% และเฟดอาจจำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยลงในอนาคต พร้อมปรับกลยุทธ์ด้านเงินเฟ้อเพื่อให้เงินเฟ้อสามารถขยายตัวได้ตามเป้า 2%

ทั้งนี้ การที่เฟดล้มเหลวในการหาข้อสรุปเป้าหมายเงินเฟ้อในการประชุมล่าสุดก็อาจสร้างปัญญาต่อการพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ หรือแม้แต่การจัดการระบบที่มีความคุมเข้มมากขึ้นด้วย โดยกลยุทธ์ใหม่ที่เฟดกำลังหารือกันคือการให้เงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วในอนาคต ที่อาจทำให้เงินเฟ้อพุ่งเกินเป้าไปที่ 3 หรือ 4% ได้ในบางปี



· นายอีริค โรเซ็นเกร็น ประธานเฟดสาขาบอสตัน กล่าวว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนดูจะสร้างแรงกดดันต่อภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่เฟดจำเป็นต้องอดทนรอจนกว่าความไม่แน่นอนทั้งหมดจะมีหนทางแก้ไขเพิ่มเติม

· รายงานจาก CNBC ระบุว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนได้เยี่ยมชมบริษัทผลิตแร่หายากในมณฑลเจียงสี พร้อมมีการกล่าวส่งสัญญาณในเชิงที่จีนมีความพร้อมที่จะทำสงครามการค้าที่ยืดเยื้อกับทางสหรัฐฯ โดยนายสี กล่าวว่า เราอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทัพทางไกล (Long March) เพื่อระลึกถึงช่วงเวลาที่กองทัพแดงเริ่มออกเดินทัพ และขณะนี้เรากำลังเตรียมเดินทัพทางไกลครั้งใหม่ ที่เราจะต้องเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ดี แม้ในถ้อยแถลงของผู้นำจีนไม่ได้ระบุถึงสหรัฐฯหรือประเด็น Trade Waw แต่ก็มีการตีความว่าถ้อยแถลงดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณว่าจีนจะไม่ยอมอ่อนข้อทางการค้าต่อสหรัฐฯ



รายงานจาก South China Moring Post ระบุว่า การเยี่ยมชมบริษัทผลิตแรร์เอิร์ธหรือแร่หายากเมื่อวานนี้ ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าอาจเป็นสิ่งที่จีนนำมาตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ ด้วยการแบนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หากสหรัฐฯยังคงสร้างความตึงเครียดทางการค้า



· นายชุย เทียนไค เอกอัคราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ “เปลี่ยนใจบ่อย” ในการเจรจาการเจรจาร่วมกับจีน โดยเกือบทุกครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายใกล้ที่จะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันในหัวข้อใดๆได้ สหรัฐฯมักจะเปลี่ยนท่าทีและถอยห่างออกจากการสรุปข้อตกลงในช่วงนาทีสุดท้าย ดังนั้น จีนเลยไม่เห็นถึงความจำเป็นต้องเร่งหาข้อตกลงทางการค้าร่วมกับสหรัฐฯแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม เอกอัคราชทูตระบุว่า จีนพร้อมที่จะกลับมาเจรจาการค้าร่วมกับสหรัฐฯเสมอ

· ราคาน้ำมันดิบปิดเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดสหรัฐฯ-อิหร่าน และคาดการณ์ที่ว่าโอเปกจะเดินหน้าปรับลดอุปทานน้ำมันในตลาด แต่แรงกดดันจากความกังวลด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนก็ได้กดดันราคาน้ำมันในตลาด เนื่องจากอาจสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเอเชีย และแนวโน้มอุปทานน้ำมันได้ จึงทำให้ Trade War เป็นส่วนหนึ่งของแรงกดดันราคา โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้นเล็กน้อย 6 เซนต์ ที่ 72.03 เหรียญ/บาร์เรล ด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดลง 11 เซนต์ ที่ 62.99 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com