• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2562

    21 พฤษภาคม 2562 | Economic News


· คืนวันศุกร์ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปที่ดูเป็นอุปสรรคสำคัญต่อค่าเงินยูโร ขณะที่ความไม่แน่นอน Brexit เข้ากดดันค่าเงินปอนด์ โดยดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 97.957 จัด หลังจากทำ low ในสัปดาห์ที่ผ่านมาบริเวณ 97.2 จุด



· สำหรับดัชนีดอลลาร์เมื่อวานนี้ยังคงทรงตัวเท่าเดิม ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอคอยสัญญาณเพิ่มเติมจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมไปถึงแนวคิดของเฟดในรายงานประชุมล่าสุดที่จะเปิดเผยในคืนวันพรุ่งนี้



ค่าเงินยูโรแข็งค่ากลับขึ้นมาได้ 0.7% ทรงตัวแถว 1.116 ดอลลาร์/ยูโร โดยตลาดจับตาความตึงเครียดทางการค้าของสหรัฐฯและจีนที่ดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯมีการออกมาตรการคว่ำบาตรบริษัทหัวเว่ย ที่ดูจะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก



· เมื่อวานนี้สมาชิกเฟดดูจะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายดอกเบี้ย โดยนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า ไม่คาดว่าเฟดจะตัดสินใจปรับลดในเร็วๆนี้ เนื่องจากยังมีความเชื่อมั่นต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่



ด้านนายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า หากเงินเฟ้อออกนอกกรอบที่เราประเมินไว้ อาจเห็นเฟดตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยได้ เพื่อพยายามให้เงินเฟ้อปรับขึ้นตามเป้าที่ประเมินไว้ที่ 2%

· นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวว่า ระดับหนี้สินภาคบริษัทที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องจับตา แต่ ณ ขณะนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะคุกคามต่อระบบการเงินใดๆ


· รายงานจาก CNBC ระบุว่า การดำเนินการเจรจาการค้าร่วมกันระหว่างสหรัฐฯและจีนได้หยุดชะงักลง ท่ามกลางการเพิ่มแรงกดดันกับบริษัทเทเลคอมของจีนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่รายงานจาก South China Morning Post ระบุว่า รัฐบาลจีนไม่เร่งรีบที่จะดำเนินการเจรจาการค้าต่อแต่อย่างใด

· ทีมบริหารประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มชื่อบริษัท Huawei Technologies ของจีนลงบัญชีดำ ส่งผลให้การดำเนินธุรกรรมใดๆระหว่างผู้ประกอบการสหรัฐฯร่วมกับ Huawei ถูกจำกัดลง

อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯกล่าวว่า อาจพิจารณาผ่อนคลายมาตรการควบคุมดังกล่าว เนื่องจากการเพิ่มชื่อลงบัญชีดำ ส่งผลให้หัวเว่ย แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถให้บริการสำหรับลูกค้าที่มีอยู่แล้ว ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการอาจรวมถึง การอนุญาตให้เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายโทรศัพท์ของผู้ให้บริการในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีจำนวนประชากรไม่มาก เช่น รัฐไวโอมิง และโอเรกอน

· ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศเชื่อว่า การจำกัดการค้าร่วมกับหัวเว่ย จะสร้างความเสียหายทางการค้าให้กับสหรัฐฯ แม้ว่าจุดประสงค์ของมาตรการดังกล่าวจะมีขึ้นเพื่อลงโทษหัวเว่ยก็ตาม


· หลังจากที่นายทรัมป์ ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย ซึ่งเป็นบริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่ของจีน และมีคำสั่งให้ Google ทำการยุติการทำธุรกิจกับหัวเว่ย ส่งผลให้ Google ตัดสินใจที่จะระงับการให้บริการระบบปฏิบัติการ Andriod อันจะทำให้เครื่องมือสื่อสารของหัวเว่ยไม่สามารถอัพเดตเวอร์ชันของ Andriod ได้ รวมทั้งไม่สามารถใช้บริการต่างๆของ Google ได้ รวมไปถึง Play Store, Gmail และ Youtube อันจะส่งผลต่อผู้ที่ใช้โทรศัพท์ของหัวเว่ยในเวลานี้ หรือคนที่กำลังจะซื้อสินค้าของทางหัวเว่ยในอนาคต

· รายงานจาก Reuters ระบุว่า บริษัทหัวเว่ยสูญเสียการเข้าถึงการอัพเดต Google ซึ่งเป็นระบบที่คนทั่วโลกนิยมใช้กว่า 80% ของคนใช้สมาร์ทโฟน และนี่อาจเป็นปัญหาในระยะยาวได้ รวมทั้งอาจทำให้บริษัทหัวเว่ยไม่สามารถเปิดตัวสินค้าที่มีกำหนดในช่วงปลายปีนี้ได้ ขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญ คาดการณ์ว่า ผลกระทบในระยะสั้นนั้นค่อนข้างจำกัด เพราะผู้ใช้บริการในปัจจุบันก็ยังสามารถใช้บริการ Google ได้รวมทั้งการอัพเดตต่างๆ ขณะที่ผลกระทบระยะยาวก็น่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาที่ค่อนข้างสั้นมาก และยิ่งผลกระทบจากจีนยิ่งจำกัด เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนถูกบล็อกการใช้งาน Google อยู่แล้วภายในประเทศจีน



· เลขาธิการองค์กร OECD กล่าวว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนนั้นจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกที่จะเข้าคุกคามต่อภาคการลงทุนและการเติบโตต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือสร้างความเสียหายที่ยิ่งใหญ่ตามมาได้ ขณะที่ทุกฝ่ายต่างหวังจะเห็นข้อตกลงทางการค้าระหว่างสองประเทศ แต่ล่าสุดก็เกิดการเผชิญหน้ากับความตึงเครียดกันอีกครั้ง

· รายงานล่าสุด ทางรัฐบาลสหรัฐฯประกาศผ่อนคลายมาตรการจำกัดธุรกรรมกับหัวเว่ย แล้ว โดยอนุญาตให้สามารถดำเนินการค้ากับผู้ประกอบการสหรัฐฯเพื่อรักษาการให้บริการด้านเครือข่ายให้คงอยู่ต่อไปเท่านั้น ยังคงไม่สามารถเข้าซื้อสินค้าเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดหรือใช้เป็นส่วนประกอบอุปกรณ์อื่นๆได้แต่อย่างใด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากทางรัฐบาลเท่านั้น

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงคืนวันศุกร์ แต่ภาพรวมรายสัปดาห์น้ำมันดิบต่างก็ปิดระดับสัปดาห์ได้เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานในตะวันออกกลางจากกรณีความตึงเครียดทางการเมืองสหรัฐฯ-อิหร่าน


น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 11 เซนต์ ที่ 62.76 เหรียญ/บาร์เรล และภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 1.8% ทางด้านน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 41 เซนต์ ที่ 72.21 เหรียญ/บาร์เรล แต่ภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วขยับขึ้น 2.3% ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์



· ราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนนี้ปิดผสมผสานกันหลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบหลายสัปดาห์ได้ ท่ามกลางสัญญาณของกลุ่มโอเปกที่มีแนวโน้มจะคงข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตต่อไปก่อนเพื่อช่วยพยุงราคาน้ำมันในปีนี้ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบก็ยังมีแรงหนุนจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางด้วย โดยน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 34 เซนต์ ที่ระดับ 63.10 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำ High ตั้งแต่ 1 พ.ค. บริเวณ 63.81 เหรียญ/บาร์เรล



ด้านน้ำมันดิบ Brent อ่อนตัวลง 24 เซนต์ จากแรงเทขายทำกำไรทำให้ปิดที่ 71.97 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำ High ตั้งแต่ 26 เม.ย. บริเวณ 73.40 เหรียญ/บาร์เรล



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com