· ค่าเงินหยวนและค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์รับแข็งค่าขึ้นได้บ้างเมื่อวานนี้ อันเป็นผลมาจากถ้อยแถลงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สะท้อนว่าทั้งสองประเทศจะยังเดินหน้าเจรจาต่อเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน และคาดหวังว่าการเจรจาจะประสบผลสำเร็จ โดยค่าเงินหยวนแข็งค่ากลับลงมา 0.25% หลังจากที่วันจันทร์อ่อนค่าไปทำระดับสูงสุดของปีที่ 6.92 หยวน/ดอลลาร์
ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 1.0% ที่ 0.6952% หลังจากไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดืนอม.ค.ในวันก่อนหน้า โดยค่าเงินออสซี่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีน เนื่องจากเป็นประเทศส่งออกหลักของทางออสเตรเลีย
ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.15% ที่ 1.1238 ดอลลาร์/ยูโร ทางด้านดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาแถว 97.526 จุด จากระดับต่ำสุดวานนี้แถว 97.4 จุด
· ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอ่อนตัวลงหลังจากที่ผู้นำสหรัฐฯ มองว่าข้อตกลงทางการค้ากับจีนอาจเกิดขึ้นได้ และน่าจะมีการประกาศในช่วง 3-4 สัปดาห์จากนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแถว 2.412% ขณะที่ระยะยาว 30 ปี ปรับขึ้นมาที่ 2.852%· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดว่า ก้าวต่อไปของทางการจีนในการรับมือกับ Trade War คือการเลือกที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย และการกระทำดังกล่าวจะเป็นการกดดันให้เฟดต้องลดดอกเบี้ยตามให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งการที่เฟดปรับลดดอกเบี้ยจะนำมาซึ่งชัยชนะที่ชัดเจนสำหรับสหรัฐฯ
สำหรับการทวิตเตอร์ข้อความของนายทรัมป์ในวันนี้ยังสะท้อนถึงข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมทั้งท่าทีกดดันต่อการดำเนินนโยบายของเฟดด้วย โดยระบุว่า การที่ธนาคารกลางจีนเลือกปรับลดดอกเบี้ยเมื่อใดก็จะถือว่าจบเกม ขณะที่สหรัฐฯดูจะเป็นฝ่ายชนะ
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า นายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะเริ่มวางกำหนดการสำหรับการเดินทางไปเจรจาการค้าร่วมกับตัวแทนประเทศจีนครั้งต่อไปในเร็วๆนี้ พร้อมยืนยันว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะดำเนินต่อไป
· นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส กล่าวว่า เฟดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อผลักดันให้เงินเฟ้อขยายตัวถึงเป้าที่ 2% แต่อย่างใด เนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐฯยังมีความแข็งแกร่งและอัตราว่างงานยังอยู่ในระดับที่ต่ำเป็นประวัติการณ์
ถ้อยแถลงของเธอค่อนข้างขัดแย้งกับสมาชิกเฟดบางส่วนที่กังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่ำกว่าระดับเป้าหมาย จึงเริ่มมีความคิดเห็นว่าอาจจำเป็นต้องปรับดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเงินเฟ้อเติบโต
· นายริชาร์ด คลาริดา รองประธานเฟด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีการเคลื่อนไหวใกล้กับเป้าหมายประมาณการณ์ของเฟด ท่ามกลางการจ้างงานที่สมบูรณ์แบบ และดัชนีราคาที่มีเสถียรภาพ และน่าจะทำให้เงินเฟ้อขยับเข้าใกล้เป้าหมาย 2%
· เจ้าหน้าประจำรัฐสภาเม็กซิโกระบุว่า นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯรอบใหม่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ และอาจพร้อมใช้งานจริงภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยการขึ้นภาษีภาษีครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อกดดันประธานาธิบดีสหรัฐฯให้ยกเลิกนโยบายขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากเม็กซิโก
หากสหรัฐฯยอมยกเลิกนโยบายขึ้นภาษีเหล็กและอลูเนียม สหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก ทั้ง 3 ประเทศก็จะสามารถร่วมผลักดันข้อตกลง United States-Mexico-Canada Agreement (USMCA) ที่จะมาแทนสัญญา NAFTA ให้เดินหน้าต่อไปได้ แต่การผลักดันข้อตกลงดังกล่าวยังคงติดขัด เนื่องจากนโยบายขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่รัฐสภาสหรัฐฯก็ทราบข้อเท็จจริงนี้ และกำลังพยายามโน้มน้าวประธานาธิบดีสหรัฐฯให้ยกเลิกนโยบายดังกล่าวเสีย
· โฆษกประจำรัฐสภาอังกฤษ ระบุว่า นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะพยายามผลักดันร่างนโยบาย Brexit อีกครั้ง ภายในวันที่ 3 มิ.ย.ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในฤดูร้อนของรัฐบาลอังกฤษ หากการผลักดันนโยบายครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ก็มีความเป็นไปได้ที่นางเมย์จะประกาศกำหนดการลาออกจากตำแหน่งของเธอภายหลังจากนั้น
· นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ได้เดินทางไปยังรัสเซีย เพื่อพบกับนายวลาดิเมีย ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย โดยนายปอมเปโอ ได้กล่าวเตือนรัสเซียไม่ให้เข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2020 เหมือนเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องให้รัสเซียแสดงหลักฐานหรือการกระทำที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีก
ทางด้านนายปูตินก็ได้ปฏิเสธว่ารัสเซียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2016 พร้อมยืนยันว่ารัสเซียจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งต่อไปแน่นอน
นอกจากนี้ นายปูตินยังได้ระบุว่า ตนยังเปิดกว้างและยินดีที่จะจัดการประชุมร่วมกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่านายทรัมป์มีความต้องการที่จะสานความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งอย่างแท้จริง
ซึ่งทางนายทรัมป์ได้เคยส่งสัญญาณว่าต้องการที่จะพบกับนายปูตินระหว่างการประชุม G20 ที่จะจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเดือนหน้า แม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะยังไม่มีการออกกำหนดการอย่างเป็นทางการแต่อย่างใดก็ตาม
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐฯมีแผนที่จะส่งกำลังทหารเข้าประจำการในพื้นที่ตะวันออกกลางเพิ่มเป็น 120,000 ราย เพื่อควบคุมสถานการณ์ในกรณีที่อิหร่านเปิดฉากโจมตีหรือเร่งการพัฒนานิวเคลียร์ โดยนายทรัมป์ระบุว่าข่าวดังกล่าวเป็นเพียงข่าวปลอม
โดยรายงานข่าวจาก The Times เมื่อวานนี้ ระบุว่า นายแพทริก ชานาฮาน รักษาการแทนรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐฯ ได้เสนอแผนอัพเดตการวางกำลังทหารในพื้นที่ตะวันออกกลางให้กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีแนวคิดที่จะส่งกำลังพลไปเพิ่มในพื้นที่ดังกล่าวรวมเป็น 120,000 นาย เพื่อควบคุมสถานการณ์ในกรณีที่อิหร่านตัดสินใจเปิดฉากโจมตีหรือเร่งการพัฒนานิวเคลียร์
· รายงานจากกองทัพสหรัฐฯระบุว่า กำลังพลสหรัฐฯในพื้นที่อิรักกำลังอยู่ในภาวะระมัดระวังอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดภัยคุกคามจากกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอิหร่าน
· ราคาน้ำมันดิบปิดผสมผสานกันจากความตึงเครียดตะวันออกกลาง ที่เกิดขึ้นควบคู่กับการเจรจา Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ถึงแม้จะมีข้อขัดแย้งทางการค้า แต่ทั้งสองฝ่ายก็ดูเหมือนจะเดินหน้าเจรจาต่อเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดขึ้น 38 เซนต์ หรือ +0.24% ที่ระดับ 70.4 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 12 เซนต์ หรือ +0.2% ที่ระดับ 60.92 เหรียญ/บาร์เรล
อย่างไรก็ดี ทุกสายตาก็ยังให้ความสนใจจากการที่นายทรัมป์เผยว่าจะได้พบกับผู้นำจีนในการประชุม G20 ช่วงปลายเดือนมิ.ย.นี้ และคาดว่าน่าจะเป็นการเจอกันในทิศทางที่ค่อนข้างเป็นไปด้วยดี