• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 9 พฤษภาคม 2562

    9 พฤษภาคม 2562 | Economic News



· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มว่าข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะส่งผลให้เฟดอาจทำการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ จึงดูเหมือนความตึงเครียดทางการค้าครั้งนี้อาจไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อค่าเงินดอลลาร์เท่าที่ควร หลังจากที่ช่วงแรกปรับแข็งค่าได้จากการที่นายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการข่มขู่ล่าสุดว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน และดูเหมือนนักกลยุทธ์การตลาดส่วนใหญ่จะมองว่าจะส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ



ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงมา 0.02% ที่ 97.61 จุด ขณะที่ตลาดคาดว่ามีโอกาส 80% ที่จะเห็นเฟดจะคงดอกเบี้ยไปก่อนถึงสิ้นปีนี้



ข้อมูลดุลการค้าของจีนกับสหรัฐฯที่มียอดเกินดุลสูงขึ้นและเป็นหนึ่งในปัญหาหลักๆของ Trade War ที่สหรัฐฯกล่าวอ้าง พบว่า ข้อมูลดุลการค้าของจีนล่าสุดขยายตัวขึ้น 2.101 หมื่นล้านเหรียญในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบจากเดือนก่อน และนี่อาจทำให้สหรัฐฯยิ่งมีท่าทีเข้มงวดต่อการเจรจาการค้า



ตลาดมุ่งประเด็นไปยังการเจรจา Trade War ในวันนี้และวันพรุ่งนี้ ที่รองนายกฯจีนจะพยายามกอบกู้ข้อตกลงการค้าระหว่างสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่มีกำหนดจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเที่ยงคืนหนึ่งนาทีของวันศุกร์นี้



สำหรับค่าเงินหยวนปรับอ่อนค่าลง 0.1% ที่ระดับ 6.8037 หยวน/ดอลลาร์ หลังจากที่วันจันทร์ไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 4 เดือน



ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.1191 ดอลลาร์/ยูโร แต่ภาพรวมยังคงเคลื่อนไหวในกรอบรอดูแนวโน้มเงินเฟ้อยูโรโซนและความคืบหน้าเรื่อง Trade War ทางด้านค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 โดยเมื่อคืนนี้อ่อนค่าลง 0.5% ที่ 1.3006 ดอลลาร์/ปอนด์ จากสัญญาณที่ว่าการเจรจากันระหว่างรัฐบาลอังกฤษและพรรคฝ่ายค้านเรื่อง Brexit อาจไม่สามารถตกลงกันได้ในเร็วๆนี้




· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ระบุว่า ทางรัฐบาลจีนมีการติดต่อเข้ามายังทำเนียบขาว และชี้แจงว่าการเดินทางเยือนสหรัฐฯของนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจีน มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกับตัวแทนสหรัฐฯ


ถ้อยแถลงดังกล่าวของนายทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ทวีตข้อความอ้างว่า การที่จีนพยายามตีตัวออกห่างจากการเจรจา เพราะว่าจีนกำลังหวังว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2020 จะได้ประธานาธิบดีที่มาจากพรรคเดโมแครตขึ้นมาบริหารประเทศ และจีนจะฉวยโอกาสดังกล่าวเพื่อเอาเปรียบสหรัฐฯต่อไปได้อีกหลายปี

· ทางกระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศจีนได้ระบุว่า จีนจะมีมาตรการตอบโต้นโยบายภาษีสหรัฐฯอย่างแน่นอน หากสหรัฐฯตัดสินใจปรับขึ้นภาษีจาก 10% เป็น 25% สำหรับกลุ่มสินค้าส่งออกมูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญในวันศุกร์ที่จะถึงนี้จริง


· ล่าสุดเช้านี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า จีนเป็นผู้ “ทำลายข้อตกลง” ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯที่กำลังเกิดขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องประกาศจะขึ้นภาษีกับจีน ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวนายทรัมป์ใช้ในการกล่าวปราศรัยในรัฐฟลอริดา

· นักวิเคราะห์จากสถาบัน QMA ระบุว่า ตลาดไม่มีความเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ-จีนจะสามารถข้อตกลงทางการค้าได้จริง แม้ทางเจ้าหน้าที่รัฐจะออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดมากแค่ไหนก็ตาม

โดยหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีจีนเมื่อไม่นานมานี้ เป็นเรื่องที่ผิดกับคาดการณ์ของตลาดอย่างมาก ทำให้ตลาดมองว่าโอกาสที่การเจรจาสัปดาห์นี้จะล้มเหลวมีสูงมาก แตกต่างกับสัปดาห์ก่อนที่ตลาดมีความเชื่อมั่นต่อการเจรจาอย่างเต็มเปี่ยม

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มมาตรคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้ง โดยคราวนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกดดันการส่งออกสินค้ากลุ่มโลหะก่อสร้างของอิหร่าน พร้อมยืนยันจะเดินหน้ากดดันอิหร่านต่อไป จนกว่าทางอิหร่านจะยอมเปลี่ยนแปลงนโยบายบริหารประเทศ ”อย่างมีนัยยะสำคัญ”

· นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ปฏิเสธข้อเรียกร้องจาก ส.ส. บางส่วนที่เสนอให้เธอลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเธอไม่สามารถดำเนินการตามที่ให้สัญญาเกี่ยวกับประเด็น Brexit ได้เสียที โดยระบุว่าการที่เธอไม่สามารถผลักดัน Brexit ได้ ไม่ใช่ความผิดของเธอ

ทั้งนี้ ทางโฆษกประจำรัฐสภาฯยังคงยืนกรานว่านางเมย์จะลาออกจากตำแหน่ง ต่อเมื่อเธอสามารถผลักดันในแผน Brexit ในขั้นแรกผ่านไปได้ด้วยดีเท่านั้น



นอกจากนี้ นางเมย์ได้ระบุว่า จะพยายามผลักดันข้อตกลง Brexit ของเธอเป็นครั้งที่ 4 ก่อนถึงวันที่ 23 พ.ค. ซึ่งจะเป็นช่วงเลือกตั้งของรัฐสภาอียู ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้เธอพิจารณาลาออกจากตำแหน่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ



นอกจากแผนผลักดันข้อตกลง Brexit แล้ว นางเมย์มีกำหนดการจะเจรจากับบรรดาคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับกำหนดการสำหรับการลาออกจากตำแหน่งของเธอภายในสัปดาห์หน้าด้วยเช่นกัน



นายแบรนดอน ลูวิส หัวหน้าพรรค Conservative แห่งอังกฤษ กล่าวเตือนว่า การเลือกตั้งรัฐสภาอียูครั้งนี้ อาจเป็นครั้งที่วุ่นวายที่สุดในประวัติศาสตร์ และอาจเป็นปัจจัยทำให้เสียงเรียกร้องให้นางเมย์ลาออกจากตำแหน่งมีมากขึ้นกว่าเดิมได้



· ผลวิจัยจากสถาบัน The National Institute of Economic and Social Research (NIESR) ระบุว่า หากอังกฤษเดินหน้าถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปแต่ยังรักษาสหภาพศุลกากร (customs union) ร่วมกันเอาไว้ ซึ่งเป็นทางเลือกที่พรรค Labour ฝ่ายค้านในรัฐสภาให้การสนับสนุนมากที่สุด จะทำให้อังกฤษสูญเสียความมั่งคั่งไปถึง 3% ในระยะยาว



ทั้งนี้ สถาบัน NIESR ระบุว่า ในระยะเวลา 10 ปี อังกฤษจะสูญเสียจะสูญเสียความมั่งคั่งคิดเป็นมูลค่า 800 ปอนด์ (1,040 เหรียญ) ต่อ 1 คนในทุกๆปี



· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นท่ามกลางแรงหนุนจากข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง แต่ความตึงเครียดทางการค้าของสหรัฐฯและจีนก็ดูจะจำกัดการปรับขึ้นของน้ำมัน เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบต่อภาวะอุปสงค์พลังงาน



น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 72 เซนต์ ที่ 62.12 เหรียญ/บาร์เรล หรือคิดเป็น +1.2% และน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 49 เซนต์ ที่ระดับ 70.37 เหรียญ/บาร์เรล หรือคิดเป็น +0.7%



· เมื่อคืนนี้ EIA เผย สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปิดปรับตัวลงไปประมาณ 4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเห็นสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com