• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2562

    7 พฤษภาคม 2562 | Economic News


· ในคืนวันศุกร์ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.32% ที่ 97.521 จุด ส่งผลให้ภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วอ่อนค่าลงประมาณ 0.5% หลังจากที่สถาบัน ISM เผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการปรับตัวลงเกินคาดแตะระดับต่ำสุดรอบ 20 เดือนในเดือนเม.ย. ขณะที่นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก และนายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวสนับสนุนให้เฟดคงดอกเบี้ยจนถึงช่วงสิ้นปีนี้ หลังจากที่นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดได้กล่าวในที่ประชุมล่าสุดเมื่อวันพุธที่แล้วว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะขึ้นหรือปรับลดดอกเบี้ยใดๆในขณะนี้





· ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเกินคาดแตะ 263,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานแตะ 3.6% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ธ.ค. ปี 1969 ด้านอัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงทรงตัวที่ 3.2% ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวได้ 3.3%




· สถาบันจัดการด้านอุปทานหรือ ISM เผยดัชนี PMI ภาคบริการปรับตัวลงเกินคาดแตะระดับ 55.5 จุด ซึ่งถือเป็นการร่วงลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และระดับล่าสุดถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ส.ค. ปี 2017 จึงสะท้อนถึงสัญญาณที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีภาวะอ่อนตัวในช่วงเริ่มต้นไตรมาสที่ 2 นี้

· ค่าเงินดอลลาร์เมื่อวานนี้ทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวว่าอาจทำการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ จึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่การเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนอาจเผชิญกับอุปสรรคได้


โดยดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.01% เช้านี้อยู่ที่ 97.539 จุด จากความตึงเครียดทางการค้าดังกล่าวที่ทำให้กลุ่มนักลงทุนยังมองว่าสหรัฐฯจะได้เปรียบมากกว่าประเทศคู่ค้า ขณะที่ความตึงเครียดทางการเมืองได้หนุนให้ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าแถว 110.92 เยน/ดอลลาร์ และเช้านี้ลงมาต่อแถว 110.78 เยน/ดอลลาร์



สำหรับค่าเงินหยวนปรับอ่อนค่าลงไปกว่า 1% ใกล้ระดับอ่อนค่ามากที่สุดของปีที่ 6.8 หยวน/ดอลลาร์



· นายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีน คาดหวังที่จะเข้าร่วมกับตัวแทนเจรจากับสหรัฐฯในช่วงปลายสัปดาห์นี้ (พฤหัสบดี-ศุกร์) ที่กรุงวอชิงตัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นสัญญาณบวกมากขึ้นของข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แม้ว่าทีมบริหารของนายทรัมป์จะระบุถึงการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่จะมีผลบังคับใช้ช่วงเที่ยงคืนหนึ่งนาทีของวันศุกร์นี้ ตามคำกล่าวอ้างของนายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ผู้แทนทางการค้าระดับสูงของสหรัฐฯ


ขณะที่นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯอาจพิจารณาต่อการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากการเจรจากลับมาสู่แนวทางที่ได้หารือร่วมกัน



ทั้งนี้ ตลาดจับตาไปยังการที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจากมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ หรือเรียกเก็บเพิ่ม 25% จาก 10% หากนายหลิวไม่ยอมเข้าร่วมการเจรจา แต่การขึ้นภาษีก็อาจไม่เกิดขึ้นได้ โดยต้องดูทีท่าของการเจรจาวาระที่จะถึงนี้



เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯตำหนิทางการจีนที่ไม่รักษาสัญญาในการหารือข้อตกลงร่วมกันและส่งผลกระทบต่อการหารือกับจีน



อย่างไรก็ดี ทางการจีน ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการยุติการเจรจาร่วมกันใดๆ แม้ว่านายทรัมป์ จะมีการขู่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนและเพิ่มกลุ่มสินค้าก็ตาม





· รายงานจาก CNBC ระบุว่า สหรัฐอเมริกาอาจกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกีดกันทางการค้ามากที่สุด หากนายทรัมป์จะเดินหน้าขึ้นภาษีตามที่ลั่นวาจาไว้ในครั้งล่าสุด



เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายทรัมป์ได้มีการทวิตเตอร์ข้อความที่ว่าอัตราภาษีสินค้านำเข้าจีนที่ 10% มูลค่า 2 แสนล้านเหรียญอาจพุ่งขึ้นเป็น 25% มูลค่า 3.25 แสนล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นอัตราการเรียกเก็บที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และอาจส่งผลลบต่อกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มากขึ้นตามมา



· นายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า ทีมบริหารของนายทรัมป์ กล่าวว่า การที่สหรัฐฯส่งเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส อับราฮัม ลินคอล์น ไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนว่า เป็นการตอบโต้และเตือนอิหร่านที่กำลังก่อปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่สหรัฐฯไม่ได้กำลังพยายามทำสงครามกับอิหร่าน แต่ต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับตอบโต้การโจมตีทุกอย่าง



· นายไมค์ ปอมเปโอ กล่าวว่า สหรัฐฯจะยกระดับการควบคุมกิจกรรมด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน เพื่อไม่ให้อิหร่านผลิตอาวุธนิวเคลียร์โดยเด็ดขาด โดยเขากล่าวหลังจากที่สหรัฐฯมีการส่งเครื่องบินโจมตีไปยังตะวันออกกลาง ซึ่งนายปอมเปโอเชื่อว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น ทางสหรัฐฯจึงต้องเตรียมการอย่างเหมาะสมด้านความมั่นคงและทางเลือกสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้

· กิจกรรมภาคการผลิตของญี่ปุ่นประจำเดือนเม.ย.ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน แตะ 50.2 จุด จากเดิมที่ 49.2 จุด ท่ามกลางการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นและมีสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มทางธุรกิจ แม้ว่าภาพรวมการส่งออกของเอเชียจะได้รับผลกระทบจาก Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน

· ราคาน้ำมันคืนวันศุกร์ปิดปรับขึ้นจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯที่ช่วยหนุนให้อุปสงค์ความต้องการเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการผลิตน้ำมันในอิหร่านและเวเนซุเอลาที่ลดลงและสร้างภาวะความตึงตัวให้แก่ตลาด โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 13 เซนต์ ที่ 61.94 เหรียญ/บาร์เรล และภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วปรับลงไปประมาณ 2.2% ร่วงลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ทางด้านน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 10 เซนต์ ที่ 70.85 เหรียญ/บาร์เรล โดยภาพรวมรายสัปดาห์ -1.8% ถือเป็นการร่วงลงสัปดาห์แรกในรอบ 5 สัปดาห์

· เมื่อวานนี้ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้น ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านที่ฉุดให้ราคาปรับขึ้นได้ หลังจากที่ช่วงต้นตลาดราคาน้ำมันดิ่งลงไปทำ Low รอบ 1 เดือน หลังจากที่นายทรัมป์ เผยว่าอาจมีการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน



น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 31 เซนต์ ที่ 62.25 เหรียญ/บาร์เรล โดยช่วงต้นลงไปทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ 29 มี.ค. ที่ 60.04 เหรียญ/บาร์เรล และน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 39 เซนต์ ที่ 71.24 เหรียญ/บาร์เรล หลังไปทำ Low ตั้งแต่ 2 เม.ย. ที่ 68.79 เหรียญ/บาร์เรล 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com