· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลส่วนใหญ่อย่างเช่นยูโรและเยน ท่ามกลางแรงหนุนจากสัญญาณความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น
สำหรับตลาดการเงินในออสเตรเลีย ฮ่องกง และประเทศหลักๆในยุโรปยังคงปิดทำการในวันนี้เนื่องในเทศกาล Easter ส่งผลให้ตลาดค่าเงินทั่วโลกมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง
· นักวิเคราะห์จาก Daiwa Securities ระบุว่า การที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาได้ เป็นเพราะความอ่อนแอของค่าเงินเงินยูโรมากกว่าที่จะเป็นความแข็งแกร่งของดอลลาร์เอง ขณะที่คาดว่าตลาดน่าจะตอบรับกับสัญญาณความอ่อนแอของยูโรไปหมดแล้ว จึงมองว่าค่าเงินยูโรไม่น่าจะอ่อนค่าไปมากกว่านี้ ดังนั้นโอกาสที่ดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นได้ จึงน่าจะเป็นไปอย่างจำกัด
ด้านดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.1% บริเวณ 97.383 จุด หลังจากปรับแข็งค่าขึ้นได้ 0.4% เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดของปี 2019 ที่ 97.71 จุด
· ตลาดในคืนนี้จะจับตาการประกาศตัวเลขยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ เพื่อหาสัญญาณความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจเพิ่มเติม
· ค่าเงินยูโรอ่อนค่า 0.1% บริเวณ 1.1240 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่อ่อนค่าลงมาเกือบ 0.5% เมื่อสัปดาห์ก่อน หลังตัวเลขเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของเยอรมนีปรับตัวลงติดต่อกัน 4 เดือน
ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อ ตามทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สดใส
· ค่าเงินดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าอีกครั้งในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางสัญญาณจากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงทิศทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1/2019 ที่แข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
สำหรับปัจจัยที่ตลาดจะจับตาภายในสัปดาห์นี้ คือยอด GDP ของสหรัฐฯที่จะประกาศในคืนวันศุกร์ ซึ่งทางเฟดสาขาแอนแลนต้าเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้เปิดเผยคาดการณ์การเติบโตของ GDP สหรัฐฯในไตรมาสที่ 1 ภายใต้โมเดลการวิจัยที่เรียกว่า GDPNow ไว้ที่ 0.3%
รายงานการวิจัยของเฟดแอตแลนต้าระบุไว้ว่า เป็นอัตราการเติบโตของ GDP ที่ใกล้เคียงกับการเติบโตของ GDP ที่แท้จริง โดยวิเคราะห์จากข้อมูลทางเศรษฐกิจต่างๆที่ประกาศมาตลอดไตรมาสที่ 1/2019 กว่า 25 ตัว จึงถือได้ว่าเป็น 1 ในการวิจัยที่น่าเชื่อถือสำหรับการคาดการณ์ยอด GDP
หาก GDP สหรัฐฯประกาศออกมาสดใสอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในสัปดาห์นี้จริง อาจหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าหลุดออกจากกรอบการเคลื่อนไหวที่จำกัดมาตลอด 5 เดือนนี้ได้
ค่าเงินดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าอีกครั้งในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางสัญญาณจากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงทิศทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1/2019 ที่แข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
สำหรับปัจจัยที่ตลาดจะจับตาภายในสัปดาห์นี้ คือยอด GDP ของสหรัฐฯที่จะประกาศในคืนวันศุกร์ ซึ่งทางเฟดสาขาแอนแลนต้าเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้เปิดเผยคาดการณ์การเติบโตของ GDP สหรัฐฯในไตรมาสที่ 1 ภายใต้โมเดลการวิจัยที่เรียกว่า GDPNow ไว้ที่ 0.3%
รายงานการวิจัยของเฟดแอตแลนต้าระบุไว้ว่า เป็นอัตราการเติบโตของ GDP ที่ใกล้เคียงกับการเติบโตของ GDP ที่แท้จริง โดยวิเคราะห์จากข้อมูลทางเศรษฐกิจต่างๆที่ประกาศมาตลอดไตรมาสที่ 1/2019 กว่า 25 ตัว จึงถือได้ว่าเป็น 1 ในการวิจัยที่น่าเชื่อถือสำหรับการคาดการณ์ยอด GDP
หาก GDP สหรัฐฯประกาศออกมาสดใสอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในสัปดาห์นี้จริง อาจหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าหลุดออกจากกรอบการเคลื่อนไหวที่จำกัดมาตลอด 5 เดือนนี้ได้
· นักวิเคราะห์ FX Street มองว่า ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับอ่อนค่าลง และมีโอกาสร่วงลงไปแตะ 0.7116 ได้ซึ่งเป็นระดับแนวรับในกราฟรายชั่วโมง ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 50 ชม แล 200 ชม. มีการตัดกันในเชิงขาลง และส่งผลให้ภาพทางเทคนิคค่าเงินมีการ Breakout ออกจากกรอบ Triangle ที่มีการเคลื่อนไหวในภาพรายชั่วโมง
USD/JPY: ดูมีแรงเข้าซื้อแถว 112.00 ในตลาดเอเชีย สัปดาห์นี้ตลาดจับตาประชุ BoJ และ GDP Q1 สหรัฐฯ
· USD/JPY มีการปรับสูงขึ้นมาได้ประมาณ 15 pips ในช่วงตลาดเอเชียวันนี้ แต่ยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับสำคัญที่ 112.00 เยน/ดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ดูเหมือนจะได้รับแรงหนุนจาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สดใสเมื่อสัปดาห์ก่อน
แม้ตลาดจะค่อนข้างขาดแรงสนับสนุน แต่ค่าเงินยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบปี โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินได้ทำระดับสูงสุดที่ 112.16 เยน/ดอลลาร์ เนื่องจากมีความต้องการดอลลาร์ที่แข็งแกร่ง หากทิศทางขาขึ้นของค่าเงินจะดำเนินต่อไปได้ ก็จำเป็นต้องปรับขึ้นเหนือระดับสูงสุดดังกล่าว ขณะที่ค่าเงินกำลังเคลื่อนสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยทั้งหมด และสัญญาณจาก Indicators ต่างชี้ไปในเชิงบวกแม้จะเริ่มอ่อนกำลังลงก็ตาม ขณะที่เส้น RSI ทรงตัวแถวระดับ 58 จุด ส่วนในกราฟราย 4 ช.ม. ค่าเงินมีการเคลื่อนไหวแบบ Neutral เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยราย 20 วัน กำลังจำกัดการเคลื่อนไหวในขาขึ้นอยู่แถว 112
แนวรับ 111.75 | 111.40 | 111.10
แนวต้าน: 112.15 | 112.50 | 112.85
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐเตรียมประกาศให้ผู้ซื้อทุกประเทศยุตินำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน โดยสหรัฐเตรียมมาตรการทางเศรษฐกิจบีบประเทศที่ไม่ดำเนินการตาม
โดยน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 3.3% ที่ระดับ 74.31 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงุสดนับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะร่วงลงไปที่ระดับ 73.63 เหรียญ/บาร์เรล อย่างไรก็ดี ยังคงปรับตัวสูงขึ้นได้ 2.3% ขณะที่น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 2.9% ที่ระดับ 65.87 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำ JOGMEC ระบุว่า การดำเนินนโยบายดังกล่าวไม่เป็นผลดีต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันของโลกที่ตึงตัวและกำลังการผลิตส่วนเกินที่ลดลงคาดว่าจะหนุนราคาน้ำมัน
พร้อมทั้งคาดว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้เนไปที่ระดับ 86.29 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในปี 2018 ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI อาจจะเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 76.41 เหรียญ/บาร์เรล