• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 13 มีนาคม 2562

    13 มีนาคม 2562 | Economic News
 

 · ค่าเงินปอนด์เริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากอ่อนค่าลงเมื่อคืน ตามหลังความล้มเหลวในการลงมติข้อตกลง Brexit ในรัฐสภาอังกฤษ ขณะที่นักลงทุนกำลังรอการลงมติอีกครั้งภายในคืนนี้

รัฐสภาอังกฤษมีมติปฏิเสธข้อตกลง Brexit ของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไปเป็นครั้งที่สองเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะที่รัฐสภามีกำหนดจะลงมติอีกครั้งในคืนนี้ เกี่นวกับการตัดสินว่าอังกฤษจะถอนตัวออกจากอียูแบบ No-deal หรือไม่ หากยังมีมติไม่ผ่าน ก็จะมีการลงมติในคืนวันพฤหัสบดีอีกครั้ง ซึ่งจะเกี่ยวกับการตัดสินว่าจะขยายระยะเวลาของกำหนดการถอนตัวเดิมในวันที่ 29 มี.ค.

· นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัย Gaitame.Com ระบุว่า มีแนวโน้มสูงที่รัฐสภาอังกฤษจะลงมติปฏิเสธข้อเสนอให้ No-deal Brexit คืนนี้ ขณะที่โอกาสที่อังกฤษจะเลื่อนระยะเวลาถอนตัวออกไปดูมีความเป็นไปได้สูงมากขึ้น จึงช่วยให้ค่าเงินปอนด์เริ่มที่จะทรงตัวได้ แต่เนื่องจากค่าเงินปอนด์มักจะอ่อนไหวกับข่าว Brexit อยู่แล้ว จึงมีโอกาสที่จะเห็นค่าเงินผันผวนอีกครั้งในช่วงการลงมติคืนนี้

ทั้งนี้ ค่าปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.2% บริเวณ 1.3089 ดอลลาร์/ปอนด์ และเริ่มทรงตัวในกรอบแคบ หลังจากที่เมื่อคืนผันผวนระหว่าง 1.3290 – 1.3005 ดอลลาร์/ปอนด์ และปิดตลาดอ่อนค่าลง 0.65%

· นักวิเคราะห์จาก Sumitomo Mitsui Trust ระบุว่า หากอังกฤษตัดสินใจเลื่อนกำหนดการ Brexit ออกไป สิ่งที่ตลาดจะให้ความสนใจคือระยะเวลาที่เลื่อนออกไป กับสิ่งที่รัฐบาลอังกฤษและอียูจะทำให้สำเร็จในช่วงระหว่างนั้น ซึ่งหากอังกฤษยังไม่มีแผน Brexit ที่ชัดเจนให้ทางอียูยอมรับได้ภายในสัปดาห์หน้า โอกาสที่ค่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าลงต่อจึงยังมีอยู่สูง

ทั้งนี้ บรรดาผู้นำประเทศในอียูทั้ง 28 ประเทศจะมีการประชุมร่วมกันในวันที่ 21-22 มี.ค. เพื่อตัดสินว่าจะยอมให้อังกฤษขยายกำหนดการ Brexit ออกไปจากกำหนดเดิมในวันที่ 29 มี.ค. หรือไม่

ด้านค่าเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวในแดนอ่อนค่า หลังจากที่เมื่อคืนอ่อนค่าลงจากการประกาศตัวเลข CPI ที่ขยายตัวได้ด้วยอัตราที่ช้ากว่าที่คาด กดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลงไปทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน

โดยดัชนีดอลลาร์วันนี้ค่อนข้างทรงตัวบริเวณ 96.992 จุด หลังจากอ่อนค่าลง 0.3% เมื่อคืน

· ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1283 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากแข็งค่าขึ้นได้ 0.4% เมื่อคืนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าตามการประกาศข้อมูล CPI



· ค่าเงิน USD/JPY หลุดจากแนวรับของเทนรขาขึ้นที่เป็นลักษณะ Rising wedge จึงเป็นสัญญาณว่าค่าเงินจะเผชิญกับแรงเทขายต่อจากระดับสูงสุดเมื่อเร็วๆนี้ที่ระดับ 112.14 เยน/ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การปรับร่วงของค่าเงินได้หยุดลงที่ระดับ 111.11 เยน/ดอลลาร์ และฟื้นตัวกลับมาที่บริเวณ 111.40 เยน/ดอลลาร์ จึงระงับการกลับตัวเป็นทิศทางขาลงไปได้

ล่าสุดค่าเงินย่อตัวลงมาเคลื่อนไหวแถวบริเวณ 111.40 เยน/ดอลลาร์จึงต้องจับตาไปที่ระดับ 111.11 เยน/ดอลลาร์ หากหลุดลงไปจะทำให้ภาพรวมระยะสั้นกลับมาเป็นทิศทางขาลง และจะมีโอกาสร่วงต่อไปถึงบริเวณ 110.75 เยน/ดอลลาร์

ในทางกลับกัน ค่าเงินจำเป็นต้อง Break ระดับ 111.47 เยน/ดอลลาร์ ขึ้นไปให้ได้ ถึงจะเป็นการยืนยันการกลับตัวเป็นทิศทางขาขึ้น แต่มีความเป็นไปได้ต่ำ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปีได้ปรับตัวลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนไปเมื่อวานนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียในช่วงเช้านี้ก็เคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่

· ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียและนิวซีแลนด์จะเป็นค่าเงินที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนมากที่สุด เนื่องจากเป็นคู้ค้าที่ใหญ่ที่สุดสำหรับทั้ง 2 ประเทศที่เป็นผู้ผลิตสินค้าโภคภันฑ์

ขณะที่ปริมาณอุปสงค์ในประเทศจีนที่อ่อนแอลง ก็น่าจะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกของออสเตรเรีย ที่เป็นผู้ส่งออกแร่เหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากค่าเงินเบื้องต้น ค่าเงินอื่นๆที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนได้แก่ ดอลลาร์แคนาดา ริงกิตมาเลเซีย รูเปียห์อินโดนีเซีย และดอลลาร์สิงคโปร์


· ดัชนี CPI ของสหรัฐฯที่ประกาศเมื่อคืนนี้ออกมาทรงตัว ขณะที่ Core CPI ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ จึงกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ในขณะที่ค่าเงินยูโรและดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ Citi Economic Surprise Index ยังคงบ่งชี้ว่าภาพรวมทางเศรษฐิจของสหรัฐฯยังคงอยู่ในเกณฑ์อ่อนแอ จึงอาจเป็นปัจจัยให้เฟดพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อรอความชัดเจนของเศรษฐกิจต่อไป

ขณะที่ในอังกฤษ การลงมติข้อตกลง Brexit ของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความล้มเหลวเป็นครั้งที่สอง ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าตามมา ซึ่งในวันนี้รัฐสภาอังกฤษมีกำหนดจะลงมติอีกครั้ง เกี่ยวกับการตัดสินว่าอังกฤษจะถอนตัวจากอียูแบบ No-deal หรือไม่ ซึ่งอาจเปิดประตูไปสู่การจัดการลงประชามติเป็นครั้งที่สอง หรืออาจยกเลิก Brexit ไปโดยสิ้นเชิง และยังมีความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะขอขยายระยะเวลาของมาตรา 50 ออกไป ซึ่งจะทำให้อังกฤษต้องเสียค่าปรับเป็นมูลค่า 3.9 หมื่นล้านปอนด์ให้กับอียู

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่การลงมติในอังกฤษจะเริ่มขึ้น ตลาดจะให้ความสนใจไปยังการประกาศยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ม.ค. ของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะออกมาลดลงที่ -0.40% เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 1.20% ซึ่งการชะลอตัวน่าจะเป็นผลกระทบมาจากประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมถึงสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน ที่ยังเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

· ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรในญี่ปุ่นชะลอตัวลงในเดือน ม.ค. ด้วยอัตราที่มากที่สุดในรอบ 4 เดือน ท่ามกลางผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ส่งผลให้ปริมาณความต้องการเครื่องจักรที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์สื่อสารลดน้อยลง

โดยยอดคำสั่งซื้อเครื่องจักรชะลอตัวลง -5.4% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ -1.7% เทียบกับเดือนธ.ค.ที่ชะลอตัว -0.3% ทั้งนี้ ยอดคำสั่งซื้อเครื่องจักรมักเป็นตัวชี้วัดยอดลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์ของธุรกิจในประเทศนั้นๆได้

· ความไม่แน่นอนของความคืบหน้ากรณี Brexit กลับมาอีกครั้งในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ทางรัฐสภาอังกฤษยังคงปฏิเสธแผนข้อตกลงของ นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษอีกครั้งเมื่อวานนี้แพ้คะแนนเสียงไป 149 เสียง โดยมีคนลงคะแนนเห็นชอบ 242 เสียง ขณะที่เสียงคัดค้านมีมากกว่าที่ 391 เสียง แม้ว่าช่วงต้นสัปดาห์ร่างข้อตกลงดังกล่าวจะเห็นพ้องกันระหว่างอียูและนางเมย์

ความล้มเหลวในการได้รับเสียงสนับสนุน จะทำให้เกิดการลงมติในรัฐสภาอังกฤษตามมาในวันนี้และวันพรุ่งนี้ ว่าต้องการให้อังกฤษออกจากอียูแบบ No-Deal หรือต้องการเลื่อนเวลาการออกจากอียูออกไปจากกำหนดการเดิมในวันที่ 29 มี.ค.นี้

การโหวต No-Deal ในวันนี้ว่าอังกฤษจะออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ และอาศัยกฎเกณฑ์ทางการค้าของ WTO แทนหรือไม่ โดยประเด็นนี้มีแนวโน้มสูงที่จะถูกสมาชิกรัฐสภาปฏิเสธแนวทางนี้ แต่นี่ก็ยังไม่เป็นรูปธรรม และยังมีความเป็นไปได้อยู่ที่จะเห็นอังกฤษออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ หากพวกเขาเลือกที่จะโหวตคัดค้านอยู่

ด้านนางเมย์ ออกมายอมรับว่า ข้อตกลงแบบ No-Deal ยังมีความเป็นไปได้ เว้นแต่จะมีการหาข้อตกลงถอนตัวจากอังกฤษได้ ขณะที่โฆษกกรรมาธิการอียู กล่าวว่า การปฏิเสธข้อตกลงที่เกิดขึ้นล่าสุด ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นที่อาจเห็นการแยกตัวแบบ No-Deal

อย่างไรก็ดี หากคืนนี้รัฐสภาอังกฤษโหวตไม่เห็นด้วยกับการออกจากอียูแบบ No-Deal สิ่งที่จะตามมาคือการลงมติขยายมาตรา 50 หรือโหวตเลื่อนวันออกจากอียู ในวันพฤหัสบดีนี้ และการขยายระยะเวลาดังกล่าวอาจนำมาซึ่งความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษ หากนางเมย์เริ่มตระหนักถึงทางตันมากขึ้นในทางการเมือง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องรอผลที่จะตามมาของคืนวันพุธเป็นอันดับแรก

· ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางแรงหนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านกับเวเนซุเอลาโดยสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.4% บริเวณ 66.95 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 0.6% บริเวณ 57.23 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com