• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562

    26 กุมภาพันธ์ 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินเยนปรับอ่อนค่าลง หลังจากที่ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น จากการที่นายทรัมป์ จะเลื่อนกำหนดเส้นตายการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่ม โดยระบุว่า การเจรจาระหว่างสองประเทศนั้นมีความคืบหน้ามากขึ้น ขณะที่ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ปรับแข็งค่าขึ้น อาทิ ค่าเงินแอฟริกาใต้ที่ปิด +1.4% ที่ระดับ 13.8495 แรนด์/ดอลลาร์

ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.09% ที่ระดับ 96.42 จุด ขณะที่ค่าเงินเยนปรับอ่อนค่าลงไปทำระดับต่ำสุดรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรที่ 126.255 เยน/ยูโร ขณะที่เมื่อเทียบกับดอลลาร์อ่อนค่าลงมา 0.32% ที่ระดับ 111.03 เยน/ดอลลาร์

ด้านค่าเงินหยวนไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น โดยค่าเงินหยวนปรับแข็งค่ามาที่ 6.6737 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ค. ก่อนจะปิด +0.3% ที่ระดับ 6.68 หยวน/ดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นมาประมาณ 2.7% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ในปีนี้ หลังจากที่ปีที่แล้วอ่อนค่าลงไป 5.5%

ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.16% ที่ระดับ 1.1359 ดอลลาร์/ยูโร แต่ภาพรวมก็ยังคงมีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ

· เมื่อวานนี้นายริชาร์ด คลาริดา รองประธานเฟด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯอยุ่ในภาวะที่ดี ท่ามกลางตลาดแรงงานที่มีการจ้างงานอย่างหนาแน่น และอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวใกล้ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% ดังนั้น เฟดจึงสามารถชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อจับตาดูท่าทีของเศรษฐกิจไปก่อนได้

· นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด มีกำหนดจะขึ้นรายงานมุมมองของเฟดที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯประจำปี ต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารในวุฒิสภาสหรัฐฯ คืนนี้ เวลาประมาณ 4 ทุ่ม ตามเวลาประเทศไทย

โดยนักวิเคราะห์จาก CIBC Capital Markets มองว่า การเปลี่ยนแปลงแนวทางดำเนินนโยบายของเฟด มาเป็นแบบอดทนรอต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ย น่าจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากบรรดาสมาชิกในสภาคองเกรส เนื่องจากบรรดาส.ส. เริ่มหันมาให้ความสนใจการเลือกตั้งในครั้งต่อไป จึงพยายามป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก BofA Merrill Lynch Global Research ระบุว่า ตลาดจะจับตาดูสัญญาณที่เกี่ยวกับโอกาสที่เฟดจะกลับมาขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีกครั้ง จากการกล่าวรายงานคืนนี้

· รายงานจาก CNBC ระบุว่า พรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษจะทำการสนับสนุนให้เกิดการลงประชามติครั้งที่ 2 สำหรับกรณี Brexit หากทางรัฐสภาอังกฤษยังคงปฏิเสธแผนทางเลือกในการออกจากอียู

ขณะที่เหลือเวลาเพียงไม่นานที่อังกฤษต้องถอนตัวออกจากอียูในวันที่ 29 มี.ค.นี้ และนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษยังคงพยายามหาทางเปลี่ยนแปลงแนวทางข้อตกลงของเธอเพื่อให้ผ่านมติจากทางรัฐสภาฯ

อย่างไรก็ดี การตัดสินใจของพรรคแรงงานดังกล่าว อาจเป็นการทำลายความหวังของนางเมย์ ที่จะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอในการลงมติวันที่ 12 มี.ค.นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการออกจากอียูแบบ No-Deal ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านดูจะพึงพอใจให้เกิดการลงประชามติครั้งที่ 2 มากกว่า

· นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า การถอนตัวออกจากอียูของอังกฤษอย่างเหมาะสมอยู่เพียง “แค่เอื้อม” เท่านั้น พร้อมยืนกรานว่า การชะลอนโยบาย Brexit ออกไป จะไม่ช่วยแก้ไขความยืดเยื้อภายในรัฐสภาเกี่ยวกับประเด็น Brexit ได้แต่อย่างใด

ถ้อยแถลงของนางเมย์ เกิดขึ้นหลังพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาระบุว่า จะให้การสนับสนุนการจัดการลงประชามติขึ้นเป็นครั้งที่สอง ขณะที่นางเมย์ก็ยังคงยืนยันว่า การถอนตัวออกจากอียูจะเกิดขึ้นตามกำหนดการเดิม คือวันที่ 29 มี.ค.

· สำหรับเมื่อวานนี้ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษปรับแข็งค่าขึ้นทำระดับสูงสุดรอบ 4 สัปดาห์ บริเวณ 1.3153 ดอลลาร์/ปอนด์ ก่อนภาพรวมจะปิด +0.2% ที่ 1.3124 ดอลลาร์/ปอนด์ ซึ่งตลาดตอบรับกับรายงานของสำนักข่าว Bloomberg ที่ระบุว่า นางเมย์ จะทำการตัดสินใจเลื่อนกำหนดเส้นตาย Brexit ออกไป โดยในรายงานยังระบุถึงการที่ นางเมย์ คาดหวังว่าจะได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาฯ ในการหารือถึงการขยายเวลากำหนดเส้นตายในการออกจากอียู 29 มี.ค. โดยจะมีการจัดประชุมกันในวันนี้

อย่างไรก็ตาม รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า นางเมย์อาจพิจารณาขอขยายระยะเวลา Brexit ออกไปอย่างน้อย 2 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้อังกฤษถอนตัวออกไปแบบ No-deal โดยนางเมย์มีกำหนดการที่จะยื่นคำร้องต่อรัฐสภาภายในวันอังคารนี้ และจะมีประชุมตามมาหลังจากนั้น

การยื่นขอขยายระยะเวลาจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางจุดยืนครั้งสำคัญของนางเมย์ ที่เพิ่งกล่าวยืนยันไปเมื่อไม่นานมานี้ ว่าการชะลอนโยบาย Brexit ออกไป จะไม่ช่วยแก้ไขความยืดเยื้อภายในรัฐสภา ขณะที่การขยายระยะเวลาของ Brexitอังกฤษจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากอียูด้วยเช่นนั้น

· นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าบีโอเจ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวในไตรมาสที่ 1/2019 จากความขัดแย้งทางการค้า จะสามารถกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 ท่ามกลางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ที่จะเริ่มส่งผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

· รายงานจาก CNBC เผยว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงกว่า 3% วานนี้ หลังจากที่นายทรัมป์มีการทวิตเตอร์ข้อความเรียกร้องให้กลุ่มโอเปกหาแนวทางปรับลดราคาน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันสูงเกินไป จึงต้องการให้กลุ่มโอเปกมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น

ทั้งนี้กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรนอกโอเปกได้ร่วมกันปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันครั้งใหม่ในช่วงตลอด 2 เดือนนี้ และอาจจะมีการปรับทบทวนข้อตกลงกันอีกครั้งในวาระการประชุมช่วงกลางเดือนเม.ย.

ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 1.78 เหรียญ คิดเป็น -3.1% ที่ระดับ 55.48 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่วันศุกร์ไปทำระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 เดือน บริเวณ 57.81 เหรียญ/บาร์เรล

น้ำมันดิบ Brent ปิดลง 2.36 เหรียญ คิดเป็น -3.5% ที่ระดับ 64.76 เหรียญ/บาร์เรล หลังไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ย. บริเวณ 67.73 เหรียญ/บาร์เรล

· นักกลยุทธ์น้ำมันจาก BNP Paribas กล่าวว่า ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงกลับมาเพิ่มขึ้น จาการที่นายทรัมป์ประกาศจะขยายเวลากำหนดเส้นตายออกไปเพื่อให้สหรัฐฯและจีนได้เดินหน้าเจรจาการค้าร่วมกันต่อ ขณะที่ความตึงเครียดทางการเมืองในเวเนซุเอลา ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดพุ่งสูงขึ้น ประกอบกับการที่บริษัท National Oil Corporation ในลิเบีย ปฏิเสธที่จะเริ่มต้นผลิตน้ำมันดิบในช่วงนี้ ท่ามกลางสหรัฐฯที่มีการประกาศการคว่ำบาตรประเทศอิหร่านและเวเนซุเอลา จึงจำกัดปริมาณน้ำมันในประเทศไนจีเรียและลิเบียร่วมด้วย และนำไปสู่การสนับสนุนราคาให้ตลาดให้เข้าสู่ภาวะสมดุล ควบคู่ไปกับการที่กลุ่มโอเปกและประเทศนอกโอเปกมีการร่วมมือกันปรับลดกำลังการผลิต


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com