ในทางกลับกัน หากค่าเงินปิดตลาดเหนือระดับ 0.8704 ที่เป็นระดับสูงสุดของเมื่อวันก่อน จะเป็นการยืนยันถึงการกลับตัวเป็นทิศทางขาขึ้นระยะสั้น
· นักวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่า ค่าเงิน AUD/USD ได้มีการ Breakout จากกรอบการเคลื่อนไหวเดิมในกราฟราย 4 ชม. จึงบ่งชี้ว่า ค่าเงินมีโอกาสกลับลงมาทดสอบระดับต่ำสุดเดิมที่ 0.7050
นอกจากนี้การที่ค่าเงินปรับหลุดออกจากกรอบลงมา ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ค่าเงินอ่อนค่าต่อลงไปถึงบริเวณ 0.70
· บรรดาคณะรัฐมนตรีในสหภาพยุโรปจะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จะเริ่มต้นการเจรจาด้านการค้าร่วมกับสหรัฐฯอีกครั้ง โดยตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากยุโรป หากทางยุโรปใช้เวลานานเกินไปที่จะตัดสินใจเจรจากับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม บรรดาประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปทั้ง 28 ประเทศก็ยังคงมีความแตกแยกกันเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เริ่มต้นการเจรา โดยทางเยอรมนีต้องการให้การเจรจาเกิดขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่ทางฝรั่งเศสยังลังเลที่จะเปิดการเจรจาร่วมกับนายทรัมป์
· นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ชี้ ปัญหาหนี้สินภายในเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะสาหัสยิ่งกว่าเดิมภายในปีนี้ โดยคาดว่าระดับหนี้สินจะขยายตัวมากถึง 3-4% เมื่อเทียบกับยอด GDP ของประเทศ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าปัญหาหนี้สินจะคงอยู่เพียงแค่ชั่วคราว ขณะที่รัฐบาลจีนจะสามารถรับมือกับปัญหา Shadow Banking ได้ดียิ่งขึ้นภายในปีนี้ เนื่องจากภาครัฐมีการนโยบายที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงปี 2013-2017
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมองว่า เศรษฐกิจจีนจะแข็งแกร่งขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2/2019 แม้จะเศรษฐกิจจะค่อนข้างอ่อนแอในไตรมาสแรกก็ตาม เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ประกาศใช้ในไตรมาสที่ 1 จะเริ่มส่งผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2
· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดการจะพบกับนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของจีน ภายในคืนนี้ เพื่อพยายามสรุปข้อตกลงทางการค้าร่วมกันระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ก่อนที่จะถึงเดดไลน์ของการเจรจา
การพบกันระหว่างนายทรัมป์และนายหลิว ถูกบันทึกไว้ในรายชื่อการประชุมของทำเนียบขาว โดยการประชุมจะเกิดขึ้นในคืนนี้ เวลาประมาณตี 2.30 ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าการเจรจามีความคืบหน้าครั้งสำคัญ และผลักดันให้เกิดการพบกันโดยตรงครั้งนี้
บรรดานักลงทุนจะจับตาความคืบหน้าของการเจรจาวันนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากกังวลว่าหากมีการเจรจาที่ไม่ลงรอยกันระหว่างมหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศ อาจยิ่งทำให้เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอยู่แล้วอ่อนแอลงไปอีก ซึ่งรายงานจาก Maersk ที่เป็นบริษัทผู้ส่งออกรายใหญ่ มีการรายงานผลกำไรที่น้อยกว่าที่คาดเมื่อวานนี้ พร้อมระบุว่าแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ไม่ค่อยสดใสนัก ขณะที่ทางรัฐบาลเกาหลีใต้และญี่ปุ่นต่างรายงานตัวเลขส่งออกที่ต่างออกมาลดน้อยลง
· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ทางรัฐบาลจีนได้เสนอจะเข้าซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่าเพิ่มเติมอีก 3 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งรวมไปถึง เมล็ดถั่วเหลือง ข้าวโพด และข้าวสาลี ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการค้าที่ตัวแทนของทั้ง 2 ประเทศกำลังร่วมกันเจรจาอยู่ภายในวันนี้
ข้อเสนอเข้าซื้อสินค้าสหรัฐฯของจีน น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ MoU ที่ตัวแทนการเจรจาของทั้ง 2 ประเทศกำลังร่างเค้าโครงขึ้นมา โดยแหล่งข่าวขอให้ไม่เปิดเผยตัวตน เนื่องจากเนื้อหาของการเจรจาการค้าถือว่าเป็นความลับของรัฐบาล
· นายมิเชล บาร์เนียร์ ตัวแทนการเจรจา Brexit จากฝั่งอียู ระบุว่า เขายังคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะขอขยายระยะเวลา Brexit ออกไปจากเดิมที่มีกำหนดไว้ในวันที่ 29 มี.ค. พร้อมเรียกร้องให้อังกฤษทำการตัดสินใจเสียที ในขณะที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังคงพยายามเรียกเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาอังกฤษต่อแนวทางการดำเนินนโยบาย Brexit ของเธอ
· ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ปรับลดลงในช่วงตลาดก่อนหน้า ท่ามกลางแรงหนุนจากมาตรการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก รวมถึงความหัวงว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะมีผลลัพธ์ออกมาในทางที่ดี
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาจะมีแรงหนุนมาจากปัจจัยดังกล่าว แต่ราคายังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับสูงสุดของปี 2019 เนื่องจากแรงกดดันของปริมาณน้ำมันสหรัฐฯที่ปรับสูงขึ้นแตะระดับ 12 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่ยอดส่งออกก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้นมา 8 เซนต์จากระดับปิดตลาด เคลื่อนไหวแถว 67.15 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 67.38 เหรียญ/บาร์เรล ระดับสูงสุดในของปี 2019 ที่ขึ้นไปได้ในช่วงสัปดาห์นี้
ขณะที่ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 10 เซนต์ บริเวณ 57.06 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังต่ำกว่าระดับ 57.55 เหรียญ/บาร์เรล ที่เป็นระดับสูงสุดในรอบปี
บรรดาเทรดเดอร์กล่าวว่า ราคาสามารถปรับตัวขึ้นได้จากความหวังว่า การเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนจะสามารถยุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างทั้งสองที่เป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้ทัน ก่อนจะถึงเดดไลน์ของการเจรจาในวันที่ 1 ม.ค.
เมื่อปีที่ผ่านมา กลุ่ม OPEC และประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างรัสเซีย มีข้อตกลงที่จะปรับลดลงกำลังการผลิตน้ำมันรวมกันลงไป 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด ขณะที่ทาง Goldman Sachs คาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้ของกลุ่ม OPEC จะอยู่ที่ 31.1 ล้านบาร์เรล/วัน ลดลงจากคาดการร์เดิมที่ 31.9 ล้านบาร์เรล/วัน