• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562

    22 กุมภาพันธ์ 2562 | Economic News

·         อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่เคลื่อนไหวอยู่ในระบดับสูง ช่วยหนุนให้ค่าเงินทรงตัวในระดับแข็งค่าได้ในวันนี้ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียเริ่มทรงตัวหลังจากปรับตัวลดลงอย่างหนักท่ามกลางสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินจากธนาคารกลางออสเตรเรีย และความกังวลเกี่ยวกับการแบนการนำเข้าถ้านหินออสเตรเรียผ่านท่าเรือของจีนที่เริ่มผ่อนคลายลง

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถวระดับ 96.608 จุด หลังจากปรับขึ้นได้ 0.15% เมื่อคืนนี้ ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์ จากสัญญาณเชิงบวกของการเจรจาการค้า

·         ด้านค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.05% บริเวณ 1.1340 ดอลลาร์/ยูโร และมีแนวโน้มปิดแข็งค่าขึ้นได้ 0.4% ในภาพรวมสัปดาห์นี้ ขณะที่ตลาดกำลังจับตาการประกาศข้อมูล Germany’s Ifo business climate index เพื่อหาปัจจัยที่อาจช่วยกระตุ้นค่าเงินยูโรได้

·         ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยนที่บริเวณ 110.73 เยน/ดอลลาร์ หลังจากปรับอ่อนค่าลงมาเมื่อคืนนี้ และมีแนวโน้มปิดตลาดสัปดาห์นี้แข็งค่าขึ้นได้ประมาณ 0.2%

·         ค่าเงินดอลลาร์ออสเตเรียปรับแข็งค่าขึ้น 0.1% บริเวณ 0.7094 ดอลลาร์ หลังจากอ่อนค่าลงมาถึง 1% ทำระดับต่ำสุดในรอบ 10 วัน ท่ามกลางความกังวลจากการประกาศแบนการนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเรียสู่ท่าเรือในประเทศจีน

·         ด้านค่าเงินปอนด์ทรงตัวบริเวณ 1.3036 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังอ่อนค่าลงมาเมื่อคืนนี้ โดยค่าเงินปอนด์มีความผันผวนอยู่ในกรอบระหว่าง 1.2895 – 1.3109 ดอลลาร์/ปอนด์ ในช่วงสัปดาห์นี้ ขณะที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ พยายามโน้มน้าวนายฌ็อง คล็อด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการอียู ให้ความร่วมมือในการแก้ไขข้อตกลง Brexit ก่อนที่เธอจะสามารถนำข้อตกลงไปหารือในสภาอังกฤษได้อีกครั้ง

·         นักวิเคราะห์จาก Daily FX ระบุว่า บรรดานักลงทุนในตลาดยุโรปอาจกำลังจับตาการประกาศตัวเลข GDP ของเยอรมนี ที่ประกาศในวันนี้เวลาประมาณ 14.00 น. ตามเวลาประเทสไทย ซึ่งคาดว่าจะประกาศออกมาทรงตัวที่ระดับ 0.0%ขณะที่ตลาดบางส่วนก็มีความกังวลว่าตัวเลขดังกล่าวอาจออกมาแย่กว่าที่คาด ซึ่งหากตัวเลขออกมาแย่ลงติดต่อกันถึง 2 ไตรมาส นั่นจะหมายความว่าเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยูโรโซนได้เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงิน EUR/USD ระยะสั้นวันนี้ มองว่าค่าเงินมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถกลับมายืนเหนือระดับ 1.1358 และอาจย่อตัวลงแถวแนวรับที่ 1.1305 หากตัวเลข GDP เยอรมนีประกาศออกมาแย่ลง นอกจากนี้ตลาดก็จะจับตาการประกาศตัวเลข CPI ของยูโรโซน ที่จะประกาศวันนี้เวลาประมาณ 17.00 น. รวมถึงข่าวความคืบหน้าของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ


·         นักวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่า ค่าเงิน EUR/GBP มีการทำ Classic doji candle ขึ้นเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณถึงความไร้ทิศทางที่ชัดเจนของตลาด ดังนั้นหากตลาดวันนี้ปิดต่ำกว่าระดับ 0.8666 ค่าเงินก็มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนตัวต่อไปในทิศทางขาลง ตามแรงเทขายต่อเนื่องจากวันที่ 14 ก.พ. ที่ทำให้ค่าอ่อนค่าหลุดระดับ 0.8840 ลงมา

ในทางกลับกัน หากค่าเงินปิดตลาดเหนือระดับ 0.8704 ที่เป็นระดับสูงสุดของเมื่อวันก่อน จะเป็นการยืนยันถึงการกลับตัวเป็นทิศทางขาขึ้นระยะสั้น

·         นักวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่า ค่าเงิน AUD/USD ได้มีการ Breakout จากกรอบการเคลื่อนไหวเดิมในกราฟราย 4 ชม. จึงบ่งชี้ว่า ค่าเงินมีโอกาสกลับลงมาทดสอบระดับต่ำสุดเดิมที่ 0.7050

นอกจากนี้การที่ค่าเงินปรับหลุดออกจากกรอบลงมา ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ค่าเงินอ่อนค่าต่อลงไปถึงบริเวณ 0.70

·         บรรดาคณะรัฐมนตรีในสหภาพยุโรปจะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จะเริ่มต้นการเจรจาด้านการค้าร่วมกับสหรัฐฯอีกครั้ง โดยตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากยุโรป หากทางยุโรปใช้เวลานานเกินไปที่จะตัดสินใจเจรจากับสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม บรรดาประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปทั้ง 28 ประเทศก็ยังคงมีความแตกแยกกันเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เริ่มต้นการเจรา โดยทางเยอรมนีต้องการให้การเจรจาเกิดขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่ทางฝรั่งเศสยังลังเลที่จะเปิดการเจรจาร่วมกับนายทรัมป์

·         นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ชี้ ปัญหาหนี้สินภายในเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะสาหัสยิ่งกว่าเดิมภายในปีนี้ โดยคาดว่าระดับหนี้สินจะขยายตัวมากถึง 3-4% เมื่อเทียบกับยอด GDP ของประเทศ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าปัญหาหนี้สินจะคงอยู่เพียงแค่ชั่วคราว ขณะที่รัฐบาลจีนจะสามารถรับมือกับปัญหา Shadow Banking ได้ดียิ่งขึ้นภายในปีนี้ เนื่องจากภาครัฐมีการนโยบายที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงปี 2013-2017

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมองว่า เศรษฐกิจจีนจะแข็งแกร่งขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2/2019 แม้จะเศรษฐกิจจะค่อนข้างอ่อนแอในไตรมาสแรกก็ตาม เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ประกาศใช้ในไตรมาสที่ 1 จะเริ่มส่งผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2

·         รายงานจาก Bloomberg ระบุว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดการจะพบกับนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของจีน ภายในคืนนี้ เพื่อพยายามสรุปข้อตกลงทางการค้าร่วมกันระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ก่อนที่จะถึงเดดไลน์ของการเจรจา

การพบกันระหว่างนายทรัมป์และนายหลิว ถูกบันทึกไว้ในรายชื่อการประชุมของทำเนียบขาว โดยการประชุมจะเกิดขึ้นในคืนนี้ เวลาประมาณตี 2.30 ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าการเจรจามีความคืบหน้าครั้งสำคัญ และผลักดันให้เกิดการพบกันโดยตรงครั้งนี้

บรรดานักลงทุนจะจับตาความคืบหน้าของการเจรจาวันนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากกังวลว่าหากมีการเจรจาที่ไม่ลงรอยกันระหว่างมหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศ อาจยิ่งทำให้เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอยู่แล้วอ่อนแอลงไปอีก ซึ่งรายงานจาก Maersk ที่เป็นบริษัทผู้ส่งออกรายใหญ่ มีการรายงานผลกำไรที่น้อยกว่าที่คาดเมื่อวานนี้ พร้อมระบุว่าแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ไม่ค่อยสดใสนัก ขณะที่ทางรัฐบาลเกาหลีใต้และญี่ปุ่นต่างรายงานตัวเลขส่งออกที่ต่างออกมาลดน้อยลง

·         รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ทางรัฐบาลจีนได้เสนอจะเข้าซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่าเพิ่มเติมอีก 3 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งรวมไปถึง เมล็ดถั่วเหลือง ข้าวโพด และข้าวสาลี ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการค้าที่ตัวแทนของทั้ง 2 ประเทศกำลังร่วมกันเจรจาอยู่ภายในวันนี้

ข้อเสนอเข้าซื้อสินค้าสหรัฐฯของจีน น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ MoU ที่ตัวแทนการเจรจาของทั้ง 2 ประเทศกำลังร่างเค้าโครงขึ้นมา โดยแหล่งข่าวขอให้ไม่เปิดเผยตัวตน เนื่องจากเนื้อหาของการเจรจาการค้าถือว่าเป็นความลับของรัฐบาล

·         นายมิเชล บาร์เนียร์ ตัวแทนการเจรจา Brexit จากฝั่งอียู ระบุว่า เขายังคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะขอขยายระยะเวลา Brexit ออกไปจากเดิมที่มีกำหนดไว้ในวันที่ 29 มี.ค. พร้อมเรียกร้องให้อังกฤษทำการตัดสินใจเสียที ในขณะที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังคงพยายามเรียกเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาอังกฤษต่อแนวทางการดำเนินนโยบาย Brexit ของเธอ

·         ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ปรับลดลงในช่วงตลาดก่อนหน้า ท่ามกลางแรงหนุนจากมาตรการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก รวมถึงความหัวงว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะมีผลลัพธ์ออกมาในทางที่ดี

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาจะมีแรงหนุนมาจากปัจจัยดังกล่าว แต่ราคายังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับสูงสุดของปี 2019 เนื่องจากแรงกดดันของปริมาณน้ำมันสหรัฐฯที่ปรับสูงขึ้นแตะระดับ 12 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่ยอดส่งออกก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้นมา 8 เซนต์จากระดับปิดตลาด เคลื่อนไหวแถว 67.15 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 67.38 เหรียญ/บาร์เรล ระดับสูงสุดในของปี 2019 ที่ขึ้นไปได้ในช่วงสัปดาห์นี้

ขณะที่ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 10 เซนต์ บริเวณ 57.06 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังต่ำกว่าระดับ 57.55 เหรียญ/บาร์เรล ที่เป็นระดับสูงสุดในรอบปี

บรรดาเทรดเดอร์กล่าวว่า ราคาสามารถปรับตัวขึ้นได้จากความหวังว่า การเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนจะสามารถยุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างทั้งสองที่เป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้ทัน ก่อนจะถึงเดดไลน์ของการเจรจาในวันที่ 1 ม.ค. 

เมื่อปีที่ผ่านมา กลุ่ม OPEC และประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างรัสเซีย มีข้อตกลงที่จะปรับลดลงกำลังการผลิตน้ำมันรวมกันลงไป 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด ขณะที่ทาง Goldman Sachs คาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้ของกลุ่ม OPEC จะอยู่ที่ 31.1 ล้านบาร์เรล/วัน ลดลงจากคาดการร์เดิมที่ 31.9 ล้านบาร์เรล/วัน

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com