• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562

    14 กุมภาพันธ์ 2562 | Economic News



·         
ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นหลังจากที่ข้อมูลมาตรวัดเงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาพลังงานยังคงปรับตัวขึ้น และช่วยให้มีแรงซื้อกลับในดอลลาร์อีกครั้ง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผย ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ยังคงทรงตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนม.ค. จากราคาแก๊สโซลีนที่ถูกลง ขณะที่ Core CPI ที่ไม่รวมภาคอาหารและพลังงานขยายตัวตามคาดที่ 0.2โดยทรงตัวเท่าเดิมมาต่อเนื่อง 5 เดือน


ภาพรวมรายปีดัชนี Core CPI ขยายตัวได้ 2.2ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งข้อมูลที่ยังมีสัญญาณปรับขึ้นได้อยู่ของเงินเฟ้อจึงทำให้ดอลลาร์ปรับแข็งค่ากลับขึ้นมาได้ หลังจากที่อ่อนค่าลงไปในวันก่อนหน้า หลังจากที่นักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์ในฐานะ Safe-Haven จากมุมมองที่ว่าสหรัฐฯและจีนน่าจะเจรจากันในทิศทางเชิงบวก


ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นประมาณ 0.43% ที่ระดับ 97.13 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัว 1.127 ดอลลาร์/ยูโร หลังขยับขึ้นมาได้ 0.5%

·         ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ (CPI) ประจำเดือน ม.ค. ประกาศออกมาทรงตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ส่งผลให้ภาพรวมอัตราเงินเฟ้อขยายตัวได้น้อยที่สุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง จึงอาจสนับสนุนให้เฟดพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปได้อีกสักระยะ

โดยทางกระทรวงแรงงานระบุว่า ดัชนี CPI ถูกกดดันโดยราคาแก๊สโซลีนที่ถูกลง จึงหักล้างกับการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและค่าเช่า


สำหรับภาพรวมราย 12 เดือน จนถึงเดือน ม.ค. ดัชนี CPI ขยายตัวได้ 1.6% ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ปี 2017 ขณะที่ดัชนีขยายตัวได้ 1.9% ในเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา


ภายหลังจากการประกาศตัวเลข ดัชนีดอลลาร์มีการปรับแข็งค่าขึ้นมา เช่นเดียวกับดัชนีหุ้นสหรัฐฯที่เคลื่อนไหวในแดนบวก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวลดลง


·         ข้อตกลงทางการค้ากับทางจีน อาจช่วยหยุดยั้งการแข็งค่าของดอลลาร์ได้ แต่ดอลลาร์ก็อาจไม่อ่อนค่าลงมากนัก หากนายทรัมป์ยังคิดจะเดินหน้าพุ่งประเด็นไปที่การขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากยุโรป

·         นักกลยุทธ์ส่วนใหญ่ กล่าวว่า ในช่วงแรกของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จะนำมาซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่และยูโรปรับแข็งค่าขึ้น แต่การขึ้นดังกล่าวก็ดูจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น


แต่การที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาเผยรายงานล่าสุดเกี่ยวกับการศึกษาในส่วนของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกก็พบถึงความกังวลระดับประเทศ เพราะนักวิเคราะห์หลายๆคน เชื่อว่า เราน่าจะเห็นสหรัฐฯทำการเรียกเก็บภาษีรถยนต์จากยุโรป


·         หัวหน้านักวิเคราะห์ค่าเงินจาก TD Securities กล่าวว่า ค่าเงินยูโรอาจแข็งค่าไปถึงกรอบบน 1.16 ดอลลาร์/ยูโรได้ หากมีข้อตกลงทางการค้าของสหรัฐฯและจีน แต่หากเกิดกรณีการเก็บสินค้านำเข้าประเภทรถยนต์ของยุโรปเมื่อใด เราก็มีโอกาสที่จะเห็นค่าเงินยูโรอ่อนค่ากลับลงมาบริเวณ 1.1 ดอลลาร์/ยูโรได้  โดยค่าเงินยูโรจะถูกขับเคลื่อนไปกับการขึ้นภาษีครั้งใหม่ ในขณะที่ดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนดอลลาร์จะเข้ากันได้ดีกับสภาวะความไม่แน่นอนทางการค้า เนื่องจากประเทศที่เหลือในโลกนี้ได้รับผลกระทบมากกว่าสหรัฐฯ


·         อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวขึ้น จากกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับมุมมองเชิงบวกทางการเจรจาการค้าของสหรัฐฯและจีน  ขณะเดียวกันตลาดรอจับตาถ้อยแถลงของเหล่าสมาชิกเฟดใกล้ชิดควบคู่ไปด้วย โดยผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับขึ้นมาที่ 2.708ทางด้านผลตอบแทน 30 ปี ปรับขึ้นมา 3.036%

·         รองรัฐมนตรีกระทรวงการเกษตรแห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจพบกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ภายในเดือน มี.ค.

·         รายงานจากสำนักข่าว South China Morning Post ระบุว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะพบกับตัวแทนการเจรจาการค้าระดับสูงของสหรัฐฯที่เดินทางมาประชุมเรื่องการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ภายในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ ขณะที่ทั้ง ประเทศกำลังพยายามหาข้อตกลงทางการค้าร่วมกันก่อนถึงเดดไลน์ในเดือน มี.ค.

·         รายงานจาก Reuters ระบุว่า นายทรัมป์ส่งสัญญาณที่จะยอมสนับสนุนและลงนามในข้อตกลงของสภาคองเกรส ที่จะป้องกันไม่ให้ภาครัฐเข้าสู่ภาวะShutdown แม้ว่านายทรัมป์จะแสดงความไม่พึงพอใจ เนื่องจากข้อตกลงไม่มีการสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างกำแพงชายแดนเป็นมูลค่า 5.7 พันล้านเหรียญก็ตาม

ขณะที่ทางสภาคองเกรสจำเป็นต้องเร่งผลักดันให้ข้อตกลงดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ให้ได้ภายในคืนวันศุกร์นี้ ก่อนที่งบประมาณฉบับก่อนหน้าจะหมดอายุลง

·         เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวได้ในไตรมาสที่ 4/2018 หลังบรรดาธุรกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัวจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังคงเผชิญแรงกดดันจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ

โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นไตรมาสที่ 4/2018 ขยายตัวได้ 1.4% สอดคล้องกับคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ เทียบกับในไตรมาสที่ 3/2018 ที่เศรษฐกิจชะลอตัว 2.6% เนื่องจากภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและแผ่นดินไหว


ขณะที่ยอดส่งออกที่แท้จริงของญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 4/2018 ขยายตัว 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังเป็นอัตราขยายตัวที่มากที่สุดในรอบปี


อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ได้เตือนว่า แม้ยอดส่งออกจะขยายตัวได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ถ้าหากสหรัฐฯ-จีนไม่สามารถเจรจายุติความขัดแย้งทางการค้าลงได้ ภาคส่งออกของญี่ปุ่นในปีนี้ก็อาจจะชะลอตัวลง

·         ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้น หลังจากที่ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบียจะทำการปรับลดการส่งออกน้ำมันดิบรวมทั้งปรับลดกำลังการผลิต แต่การที่สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯยังคงปรับตัวสูงขึ้นก็ดูจะจำกัดการขึ้นของราคา

รายงานจาก EIA เผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯพุ่งขึ้นทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. ปี 2017 ท่ามกลางการปรับลดการกลั่นน้ำมันที่แตะระดับต่ำสุดตั้งแต่ต.ค.ปี 2017 และการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากยอดส่งออกที่ปรับตัวลง ซึ่งลดลงไปแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยผลผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯไปทำระดับสูงสุดต่อเนื่องติดต่อกัน 5 สัปดาห์แล้ว


น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 80 เซนต์ ที่ระดับ 53.90 เหรียญ/บาร์เรล หรือคิดเป็น +1.5%


น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 1.19 เหรียญ คิดเป็น +1.9ที่ระดับ 63.61 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 63.98 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนที่จะราคาจะย่อกลับลงมาตอบรับข่าวสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com