• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562

    13 กุมภาพันธ์ 2562 | Economic News

·       ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางกระคาดการณ์ที่ว่าข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่อาจแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ จึงทำให้นักลงทุนโยกเม็ดเงินลงทุนกลับหาค่าเงินยูโรและค่าเงินในเอเชีย

ดังนั้น จึงเห็นค่าเงินยูโรขยับแข็งค่าขึ้น 0.1% ที่ระดับ1.1334 ดอลลาร์/ยูโร ทางด้านออสเตรเลียดอลลาร์และค่าเงินนิวซีแลนด์ แข็งค่าขึ้น 0.1% เช่นกัน

อย่างไรก็ดี ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงปรับเพิ่มขึ้นมาหลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า อาจมีการเลื่อนกำหนดเส้นตายในช่วงต้นเดือนมี.ค.นี้ออกไป หากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้า แต่ก็ไม่ได้แสดงความต้องการหรือความคาดหวังใดในการเข้าพบกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนในเร็วๆนี้

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงมา 0.35% แถว 96.65 จุด ขณะที่เงินเยนทรงตัวที่ 110.5 เยน/ดอลลลาร์

·       EUR/USD อาจมีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญหลังรายงานข้อมูลภาคอุตสาหกรรม และการประมูลพันธบัตร

หลังจากที่ตลาดประสบกับความผิดหวังในการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญต่างๆของยูโรโซน ที่ออกมาค่อนข้างอ่อนแอ โดยเฉพาะในเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ค่าเงินยูโรยังมีโอกาสที่จะปรับอ่อนค่าลงอีกหลังการประกาศข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production m/m) โดยจะประกาศภายในวันนี้ เวลา 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งข้อมูลในเดือนก่อนประกาศออกมาชะลอตัว -1.7% ส่วนคาดการณ์สำหรับเดือนนี้อยู่ที่ -0.4% โดยข้อมูลด้านนี้ได้เคลื่อนไหวในแดนลบมาโดยตลอดนับตั้งแต่ 2014 โดยเฉพาะอย่างในปี 2018 ที่ข้อมูลมีการปรับร่วงลงอย่างชัดเจน

ส่วนภายในวันพรุ่งนี้ รัฐบาลอิตาลีและเยอรมนีจะมีการจัดประมูลพันธบัตรของตัวเองขึ้น ซึ่งงานสำคัญครั้งนี้จะสามารถใช้เป็นมาตรวัดได้ว่าบรรดานักลงทุนมีมุมมองอย่างไรกับสินทรัพย์ของยูโรโซน โดยเฉพาะกับพันธบัตรของรัฐบาล ที่ตลาดมองว่าเป็น Safe-haven เมื่อเทียบกับพันธบัตรของภาคเอกชน

ทั้งนี้ Daily FX คาดการณ์ว่า หลังจากการประมูลและการประกาศข้อมูลภาคอุตสาหกรรม หากตัวเลขออกมาผิดหวังและอุปสงค์ในพันธบัตรรัฐบาลยังคงอ่อนแอ EUR/USD อาจอ่อนค่าลงไปบริเวณ 1.1305 และโอกาสที่ค่าเงินจะกลับขึ้นมาทดสอบ 1.1478 ก็จะเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น เนื่องจากยูโรโซนก็ยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยทางเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ส่วนแนวต้านและแนวรับระยะสั้นสำหรับวันนี้ มองไว้ที่ 1.1358 และ 1.1305 ตามลำดับ

·       AUD/USD Technical Analysis: การรีบาวน์อาจเป็นโอกาสของฝั่งขาย



ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ  มีการรีบาวน์ขึ้นมาจากระดับต่ำสุดที่ค่าเงินอ่อนค่าลงไปจากการที่ธนาคารกลางออสเตรเรียส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินเมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่วันนี้ ค่าเงินกำลังเผชิญกับแนวต้านที่ระดับ0.7142-70 หากปิดตลาดเหนือระดับนี้ได้ ค่าเงินจะมีโอกาสขึ้นต่อไปถึงบริเวณ 0.7235

สำหรับแนวรับวันนี้ มองไว้ที่ระดับ 0.7054-76 กค่าเงินเกิดการกลับตัวอ่อนค่าหลุดระดับนี้ลงมา อาจเปิดโอกาสให้อ่อนค่าต่อลงไปถึงบริเวณ 0.6982 ที่เป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 2 ม.ค. และยังเป็นการหลุดออกจากกรอบการเคลื่อนไหวเดิมที่คงอยู่มาตั้งแต่เดือน ต.ค. จึงอาจทำให้ค่าเงินกลับเข้าสู่แนวโน้มทิศทางขาลงระยะยาวได้

ทั้งนี้ บรรดาเทรดเดอร์ที่รอจังหวะขายหรือเปิด Short อาจกำลังรอจังหวะที่ค่าเงินทำ Top ซึ่งจะเป็นสัญญาณว่าการปรับฐานระยะสั้นๆของค่าเงินได้สิ้นสุดลง แต่ก็อาจเป็นไปได้ที่เทรดเดอร์บางส่วนจะหมดความอดทนก่อนที่จะเกิดสัญญาณที่ชัดเจน จึงอาจมีการเปิด Short หรือเทขายเข้ามาเป็นช่วงๆ



·       หน่วยงานด้านสถิติแห่งกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ มีกำหนดจะประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคสำหรับเดือน ม.ค. ภายในคืนนี้ เวลา 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

ตลาดจะจับตาการประกาศตัวเลข Core CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.2% เหมือนเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา แต่ภาพรวมรายปีของดัชนีถูกคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 2.1% จากเดิมที่ 2.2%

สำหรับภาพรวมของเงินเฟ้อในเดือน ม.ค. ถูกคาดว่าจะชะลอตัวลง 0.1% เหมือนในเดือน ธ.ค. ซึ่งจะทำให้ภาพรวมรายปีถดถอยลงสู่ระดับ 1.6% จากเดิม 1.9% ในเดือน ธ.ค. 

·       นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า เขาไม่พึงพอใจเกี่ยวกับข้อตกลงด้านการรักษาความปลอดภัยทางชายแดนที่ทั้ง 2 พรรคร่วมตกลงกันได้เมื่อวานนี้ แต่ก็ไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นรัฐบาลตกอยู่ภาวะ Shutdown อีกครั้ง แต่ถ้าหากเกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นความผิดของพรรคเดโมแครต

ทั้งนี้ สภาคองเกรสจำเป็นต้องผลักดันข้อตกลงดังกล่าวให้สำเร็จก่อนถึงเดดไลน์ในวันเสาร์ เพื่อที่รัฐบาลจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะ Shutdown ไปได้

·       นายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวก่อนเดินทางไปร่วมการประชุมกับตัวแทนเจรจาจากจีนในวันนี้ โดยระบุว่า เขาคาดหวังถึงความคืบหน้าของการเจรจาครั้งนี้ ขณะที่ทั้ง 2 ประเทศต่างมีความประสงค์ที่จะร่วมกันบรรลุข้อตกลงทางการค้าให้สำเร็จ

·       ในถ้อยแถลงของนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ ที่เตรียมกล่าวในเมืองซินซินแนติ รัฐโอไฮโอ ได้ระบุว่า เฟดจะการสรุปแผนที่เกี่ยวกับการเข้าซื้อพันธบัตรภายในการประชุมครั้งที่จะถึงนี้ ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณถึงการปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินครั้งสำคัญของเฟดอีกครั้ง หลังจากที่เฟดได้ประกาศจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งที่ผ่านมา  

นอกจากนี้ ในถ้อยแถลงยังกล่าวถึงการส่งสัญญาณให้ตลาดการเงินรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายการเงินของเฟด เพราะว่าความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้จริง ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน

·       Morgan Stanley ระบุว่า ทิศทางของเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน เป็น ขาลงระยะยาว” การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2020 อาจจำเป็นต้องพึ่งพาเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ทาง Morgan Stanley ยังได้ระบุว่า ยอดเกินดุลทางการค้าของจีนได้ปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จากยอดเกิดดุลของ GDP ในไตรมาส 3/2017 ที่ 10.3% ลงมาสู่ระดับ 0.4% ในไตรมาส 3/2018 ส่วนยอดขาดดุลทางการค้าสำหรับปี 2019 คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% และ 0.6% สำหรับปี 2020

สำหรับปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจ ทาง Morgan Stanley มองว่าเป็นเพราะสังคมผู้สูงอายุที่ขยายตัวยิ่งขึ้น ยอดส่งออกที่ชะลอตัว และปัจจัยด้านอื่นๆ แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจครั้งนี้ก็อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนได้เช่นกัน

·       นายคริสเตียน เดอ กุซแมน รองประธานสถาบัน Moody’s Investors Service ระบุว่า เดือน ต.ค. เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับรัฐบาลญี่ปุ่นในการปรับขึ้นระดับภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 8% เป็น 10% เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง อีกทั้งสถานการณ์ทางการเมืองก็สงบมากเช่นกัน

นอกจากสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองญี่ปุ่นแล้ว ยังมีแรงหนุนจากการใช้นโยบายสนับสนุนการเงินของบีโอเจ ซึ่งนายกุซแมน มองว่า บีโอเจจะยังสามารถคงนโญบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปได้ เนื่องภาคการเงินของญี่ปุ่นมีความแข็งแกร่งพอที่จะรับความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำได้

·       จากผลสำรวจล่าสุดโดย Reuters พบว่า บรรดานักวิเคราะห์มีมุมมองว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะสามารถเติบโตได้ในระดับปานกลาง หากอังกฤษสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าเสรีร่วมกับอียูได้

Key Findings:

ผลสำรวจคาดการณ์ อังกฤษจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกับอียูได้ ขณะที่มุมมองของตลาดเกี่ยวกับโอกาสเกิดกรณีที่อังกฤษถอนตัวออกจากอียูแบบไม่มีข้อตกลง (No-deal) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากผลสำรวจในเดือนที่ผ่านๆมา

เศรษฐกิจอังกฤษมีแนวโน้มเติบโตได้ 0.2% ในไตรมาสที่ 1/20190.3% ในไตรมาสที่ 2/2019 และ 1.00% ในไตรมาสที่ 4/2019 (เทียบกับผลสำรวจเมื่อเดือน ม.ค. ที่ระดับ 0.3%0.3%และ 0.4% ตามลำดับ)

ธนาคารกลางอังกฤษมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.00% ภายในไตรมาสที่ 4/2019 (จากเดิมคาดการไว้ในไตรมาสที่ 3/2019)

การค้าเสรีระหว่างอังกฤษ-อียู เป็นกรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุดสำหรับ Brexit จากมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์ในแบบสำรวจ

ส่วนโอกาสเกิดกรณีถอนตัวแบบ No-deal แบบสำรวจมองไว้ที่ 25% (เดิม 23% ในแบบสำรวจเดือน ม.ค.)

·       ทางเกาหลีเหนือมีการส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่เปิดกว้างทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมมากขึ้น โดยอ้างอิงโมเดลต้นแบบจากประเทศเวียดนาม

·       ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้น 60 เซนต์ หรือคิดเป็น +1.1% ที่ระดับ 53.7 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 1.1% หรือ 69 เซนต์ มาแว 63.11 เหรียญ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นจากการที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันกลุ่มโอเปกมีการบ่งชี้ถึงภาวะการปรับลงของอุปทานน้ำมันตามข้อตกลงเมื่อเดือนม.ค. ขณะที่สหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลา

นายเจฟรีย์ ฮาเลย์ ผู้อำนวยการนักวิเคราะห์อาวุโสจาก OANDA กล่าวว่า ราคาน้ำมันได้รับแรงสนับสนุนหลังจากที่ ประเทศซาอุดิอาระเบียมีการประกาศจะทำการปรับลดกำลังการผลิตและยอดส่งออกต่ออีก 500,000 บาร์เรล/วัน ตามโควต้าข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตของ OPEC

 

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com