· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางนักลงทุนที่กำลังรอคอยการกล่าวถ้อยแถลงของนายทรัมป์ในวันนี้ ที่ดูมีความเป็นไปได้ที่จะให้ข้อมูลอัพเดตเรื่อง Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน
นอกจากนี้ นักลงทุนการเข้าซื้อค่าเงินที่ใช้เป็น Safe-Haven ประกอบกับการที่ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์กลับมาแข็งค่า หลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียกล่าวเตือนถึงความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสัญญาณชี้นำที่เพิ่มขึข้นเกี่ยวกับการจะใช้นโยบายผ่อนคลาย
· เมื่อวานนี้ นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดควรคงดอกเบี้ยจนกว่าจะมีความชัดเจนสำหรับเรื่องทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งโดยส่วนตัวเขามองว่าอาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่าหลายเดือนจึงจะเห็นความชัดเจนดังกล่าว
· ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นมา 0.21% ที่ 96.06 จุด หลังจากที่เมื่อวานทำ High รอบกว่า 1 สัปดาห์ที่ 96.12 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.23% ท่ามกลางข้อมูลภาคธุรกิจในยูโรโซนที่ขยายตัวด้วยอัตราที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่กลางปี 2013 ในช่วงเริ่มต้นปีนี้ และเช้านี้ยูโรอยู่ที่ 1.1406 ดอลลาร์/ยูโร
· การแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักวิเคราะห์มองว่า เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งหากนายทรัมป์ใช้โอกาสนี้ในการเรียกเสียงสนับสนุนให้สหรัฐฯสามารถหาข้อตกลงการค้าร่วมกับจีน หรือสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่ประสบภาวะ Shutdown อีก ความเชื่อมั่นของตลาดก็มีแนวโน้มที่จะสดใสขึ้นได้ แต่ถ้านายทรัมป์กล่าวแถลงการณ์ในทางตรงกันข้าม ความเชื่อมั่นของตลาดก็จะอ่อนแอลงเช่นกัน
· รายงานจากสำนักข่าว Reuters ระบุว่า ในการกล่าวแถลงการณ์นโยบายประจำปีต่อรัฐสภาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงเช้าวันนี้ นายทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเรียกร้องสภาคองเกรสให้สนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอีกครั้ง แต่จะไม่ได้ระบุว่าจะนำงบประมาณลงทุนส่วนนี้มาจากที่ใด
โดยนายทรัมป์อาจตั้งเป้างบประมาณไว้ที่ 1 ล้านล้านเหรียญ สำหรับการก่อสร้างถนน สะพาน และโปรเจ็คท์อื่นๆ เพื่อขยายและรักษาโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้งานมายาวนาน แต่ยังไม่มีควมชัดเจนว่ารัฐบาลจะเห็นด้วยและสนับสนุนข้อเรียกร้องของนายทรัมป์หรือไม่
ทั้งนี้ เมื่อเดือน ก.พ. ปี 2018 ที่ผ่านมา นายทรัมป์ได้เคยเรียกร้องงบประมาณรายปีเป็นมูลค่า 2 แสนล้าน ตลอดระยะเวลามากกว่า 10 ปี รวมเป็นมูลค่างบประมาณ 1.5 ล้านล้านเหรียญ สำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเช่นเดียวกัน แต่ข้อเรียกร้องครั้งนั้น ได้รับเสียงวิพากย์วิจารณ์ตามมาอย่างหนัก และยังคงไม่มีการลงมติในรัฐสภาแต่อย่างใด อีกทั้งปัจจุบัน พรรคเดโมแครตได้กลับมาเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากในสภาล่าง แตกต่างกับปีก่อนที่พรรครีพับลิกันเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากทั้งในสภาสูงและสภาล่าง
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาวได้ออกมาเตือนว่า แถลงการณ์นโยบายประจำปีมักถูกเปลี่ยนแปลงหัวข้อหรือเนื้อหาในช่วงนาทีสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นรายงานจริง
· CNBC รายงานอย่างเป็นทางการว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะพบกับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ในวันที่ 27-28 ก.พ. ณ ประเทศเวียดนาม
· รายงานจาก Telegraph ระบุว่า บรรดารัฐมนตรีในรัฐสภาอังกฤษ มีการจัดการประชุมอย่างลับๆขึ้น เกี่ยวกับแผนที่จะเรียกร้องขอขยายระยะเวลา Brexit ออกไปอีก 8 สัปดาห์ โดยจากเดิมที่กำหนดจะถอนตัวออกจากอียูในวันที่ 29 มี.ค. ไปเป็นวันที่ 24 พ.ค. แทน
ขณะที่นางเทเรเซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีกำหนดการเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ภายในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อเจรจากับบรรดาผู้นำในอียู ให้ยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับชายแดนไอร์แลนด์ ไม่เช่นนั้นอังกฤษจะถอนตัวออกไปแบบ No-deal
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง จากแรงเทขายเมื่อราคาทำระดับสูงสุดรอบ 2 เดือน แต่ถึงแม้ว่าราคาจะปรับตัวลงแต่นักลงทุนก็ยังคาดหวังว่าการที่สหรัฐฯคว่ำบาตรประเทศเวเนซุเอลา และการปรับลดการผลิตของกลุ่ม OPEC น่าจะช่วยลดภาวะอุปทานปีนี้ และทำให้ราคาปรับตัวขึ้นได้ต่อ
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลง 90 เซนต์ คิดเป็น -1.7% ที่ระดับ 53.66 เหรียญ/บาร์เรล หลังไปทำระดับต่ำสุดบริเวณ 53.47 เหรียญ/บาร์เรลวานนี้ ขณะที่วันก่อนพุ่งขึ้นทำ High สูงสุดรอบ 2 เดือนที่ 55.75 เหรียญ
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดลง 41 เซนต์ ที่ระดับ 62.1 เหรียญ/บาร์เรล ใกล้ระดับต่ำสุด 61.72 เหรียญ/บาร์เรลเมื่อวานนี้ โดยราคาอ่อนตัวลงจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดรอบ 2 เดือนที่ 63.63 เหรียญ/บาร์เรล
· ประธานฝ่ายบริหารของบริษัท BP คาดการณ์ว่า ตลาดน้ำมันน่าจะปรับขึ้นได้อีกในไม่กี่เดือนจากนี้ โดยมองว่าราคาน้ำมันดิบปีนี้จะค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าน้ำมันดิบน่าจะเคลื่อนไหวระหว่าง 50 – 65 เหรียญ/บาร์เรล
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า บรรดาประเทศในกลุ่มโอเปก นำโดยซาอุดิอาระเบีย กำลังมีแนวคิดที่จะคงความร่วมมือกับรัสเซียในการควบคุมการผลิตน้ำมันต่อไปอีกอย่างน้อย 3 ปี