• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 24 มกราคม 2562

    24 มกราคม 2562 | Economic News
\
·         ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ โดยถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ภาวะ Shutdown ของสหรัฐฯ และข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ

·         นักวิเคราะห์จาก Rakuten Securities ระบุว่า ประเด็นความความขัดแย้งทางการค้าจะเป็นปัจจัยที่สร้างผลกระทบกับตลาดได้มากที่สุดในช่วงนี้ ซึ่งปริมาณความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงจะฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้ง ก็ต่อเมื่อปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลง

·         ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียเป็นค่าที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดในวันนี้ โดยปรับอ่อนค่าลง 0.22% บริเวณ 0.7126 ดอลลาร์ หลังธนาคารกลางออสเตรเรียประกาศจะเพิ่มอัตราภาษีจำนองขึ้นสู่ระดับ 0.16% จากเดิมที่ 0.12% โดยก่อนหน้าค่าเงินเคลื่อนไหวในแดนบวกจากตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง

·         ส่วนค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยบริเวณ 109.51 เยน/ดอลลาร์ หลังจากอ่อนค่าประมาณ 0.2% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ในช่วงตลาดก่อนหน้า

·         ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่บริเวณ 96.06 จุด โดยตลาดมีมุมมองต่อค่าเงินดอลลาร์ว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าตลอดปีนี้ เนื่องจากมีมุมมองว่าเฟดอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดปี 2019 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจทั้งจากในและนอกประเทศ

ตลาดจะจับตาการประชุมอีซีบีในคืนนี้ ซึ่งเป็นที่คาดการณ์กันว่าอีซีบีจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ย

·         โดยค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยบริเวณ 1.1383 ดอลลาร์/ยูโร ในวันนี้ หลังจากที่อ่อนค่าลงมากว่า 1.6% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีมุมมองว่า อีซีบีอาจคงมุมมองเชิงผ่อนคลายทางการเงินและนโยบายยาวนานออกไปอีก ท่ามกลางปัจจัยของอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัว และตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าที่คาด โดยเฉพาะในเยอรมนีและฝรั่งเศส ขณะที่นายมาริโอ้ ดรากี้ ประธานอีซีบี อาจมีการส่งสัญญาณยอมรับว่าเศรษฐกิจอาจชะลอตัวนานกว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้ 

·         นักวิเคราะห์จาก BK Asset Management มองว่า หากนายดรากี้มีการส่งสัญญาเกี่ยวกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจที่มากกว่าเดิม ค่าเงินยูโรก็มีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงมาถึงบริเวณ 1.12 ดอลลาร์/ยูโร ได้อย่างง่ายดาย

·         ค่าเงินเยน/ดอลลาร์เคลื่อนไหวแบบสะสมพลังแถวระดับเส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 5 วัน ที่ระดับ 109.58 หลังจากอ่อนค่าขึ้นไปแตะบริเวณ 110.00 เนื่องจากบีโอเจมีมติประกาศลดคาดการณ์การเติบโตของอัตราเงินเฟ้อ และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับผ่อนคลายเป็นพิเศษไว้ดังเดิม ตามที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ 

·         ท่ามกลางภาวะความอ่อนแอของตัวเลขทางเศรษฐกิจยูโรโซน ตลาดจึงคาดการณ์กันเป็นวงกว้างว่า อีซีบีมีแนวโน้มที่รอจนถึงไตรมาสที่ 4/2019 หรือจนถึงปี 2020 ก่อนที่จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่แนวทางการดำเนินนโยบายของอีซีบีจนถึงช่วงกลางปี 2019 มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นการคงนโยบายเพื่อดูท่าทีของเศรษฐกิจไปก่อน สำหรับโอกาสที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3/2019 เริ่มมีเป็นไปได้ที่ต่ำลงเรื่อยๆ

สำหรับการประชุมของอีซีบีในคืนนี้ มีแนวโน้มสูงที่คณะกรรมการจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่หากมีสัญญาณว่าอีซีบียอมรับถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจ ค่าเงินยูโรก็อาจเผชิญแรงกดดันและอ่อนค่าลงมาได้ โดยค่าเงินยูโรล่าสุดยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าลง นับตั้งแต่อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่ระดับ 1.1570 ดอลลาร์/ยูโร

เมื่อวิเคราะห์จากกราฟรายวัน จะเห็นได้ว่าค่าเงินเคลื่อนไหวเข้าใกล้เส้นแนวรับของขาขึ้นระยะยาว ซึ่งเป็นกรอบที่ค่าเงินเคลื่อนไหวตั้งแต่ช่วงกลางเดือน พ.ย. และหากค่าเงินอ่อนค่าหลุดแนวรับดังกล่าวลงไป จะเปิดโอกาสให้ค่าเงินอ่อนค่าต่อจนถึงบริเวณ 1.13 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 2 ม.ค. และเชื่อว่าค่าเงินจะอ่อนค่าลงต่อจากระดับดังกล่าวได้อีก

·         ตลาดจะจับตาการประชุมของอีซีบีที่จะมีขึ้นในคืนนี้ เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับ นโยบาย Targeted Long-Term Refinancing Operations (TLTRO) หรือการปล่อยกู้ระยะยาวให้กับภาคธนาคาร จากถ้อยแถลงของนายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี โดยนโนบายดังกล่าวเป็นการปล่อยกู้ให้กับภาคธนาคารในระยะยาวด้วยอัตราที่ภาคธนาคารพึงพอใจ เพื่อนำเงินส่วนนั้นไปทำให้เกิดผลประกอบการทางธุรกิจ โดยนโยบายตัวนี้เคยถูกใช้ในปี 2014 ต่อยอดจากนโยบายปล่อยกู้ฉบับเดิมที่ทางอีซีบีใช้ในช่วงที่วิกฤติทางการเงินมีความรุนแรงมากที่สุด ซึ่งก็คือช่วงปี 2011 และ 2012

ตลาดจะให้ความหวังกับสัญญาณที่อีซีบีอาจนำนโยบาย TLTRO กลับมาใช้ใหม่อีกรอบเป็นอย่างมาก โดยถ้อยแถลงของนายดรากี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะส่งสัญญาณเกี่ยวกับการนำนโยบายนี้กลับมาในช่วงเดือน มี.ค. – พ.ค. ซึ่งอาจเส้นความพยายามครั้งสุดท้ายของอีซีบี ก่อนที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างแท้จริง

·         การประชุมอีซีบีในคืนนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีมติคงนโยบาย แต่อาจส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน จึงอาจทำให้ตลาดมีมุมมองว่า การดำเนินการปรับนโยบายให้เข้าสู่ภาวะปกติของอีซีบีน่าจะถูกยืดเยื้ออกไปอีก

โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา อีซีบีมีมติยกเลิกนโยบายเข้าซื้อพันธบัตรเป็นมูลค่า 2.6 ล้านล้านยูโร พร้อมส่งสัญญาณอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในช่วงปลายปีนี้

แต่เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซนดูจะอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ การดำเนินการในขั้นต่อไปของอีซีบีจึงอาจเป็นการผ่อนคลายนโยบายมากกว่าการคุมเข้ม  

ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยูโรโซน ต่างขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยในช่วงไตรมาสที่ 4/2018 และทางนายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี ก็รับทราบถึงการชะลอตัวดังกล่าวเป็นอย่างดี รวมถึงมีมุมมองว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจยืดเยื้อนานกว่าที่คาดไว้ การประชุมในคืนนี้จึงอาจมีสัญญาณของการผ่อนคลายนโยบายการเงินบ้าง

โดย Deutsche Bank ประเมินว่า อย่างมากที่สุด ทางอีซีบีมีแนวโน้มจะปรับลดคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อส่งสัญญาณต่อตลาดว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆเริ่มหันไปในทิศทางลบ และอาจมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการออกนโยบายปล่อยกู้ระยะยาวให้กับภาคธนาคาร (Long-Term Refinancing Operations) ซึ่งอาจมีการประกาศอย่างเป็นทางการในช่วงเดือน มี.ค. – พ.ค.

·         นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตข้อความระบุว่า เขาจะเลื่อนการกล่าวแถลงการณ์นโยบายประจำต่อรัฐสภาออกไป จนกว่าภาวะ Shutdown จะจบลง ซึ่งเป็นการตอบโต้นางแนนซี่ เพโลซี่ โฆษกประจำสภาผู้ทานราษฎร ที่ได้ประกาศกีดกันไม่ให้นายทรัมป์กล่าวแถลงการณ์ได้ตามกำหนดเดิม หากภาวะ Shutdown ยังคงยืดเยื้อ

ขณะที่บรรดาผู้นำพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรกำลังร่างข้อเสนอเกี่ยวกับการมอบงบประมาณเฉพาะสำหรับการก่อสร้างกำแพงตามที่นายทรัมป์เรียกร้องมา ขณะที่อุปกรณ์อื่นๆนอกเหนือจากกำแพงแล้วอาจไม่ได้งบประมาณสนับสนุน

โดยนายเจมส์ ไคล์เบิร์น ส.ส. อันดับ 3 ประจำพรรคเดโมแครตในสภาล่าง เสนอว่าพรรคเดโมแครตอาจเสนอให้ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีแทนที่การก่อสร้างกำแพง เช่น โดรน เครื่องเอ็กซ์เรย์ เครื่องตรวจจับต่างๆ รวมถึงการเพิ่มกำลังพลราดตระเวณบริเวณชายแดน

ขณะที่นายสเตนี โฮเยอร์ ส.ส. อันดับ 2 ประจำพรรคเดโมแครตในสภาล่าง ระบุว่า ทางเดโมแครตอาจเจรจากับนายทรัมป์เกี่ยวกับงบประมาณด้านการรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน แต่ไม่ได้ระบุว่า งบประมาณที่จะเสนอในการเจรจาจสูงถึง 5.7 พันล้าเหรียญหรือไม่

·         รายงานจาก CNBC ระบุว่า จีนมีการให้สัญญากับสหรัฐฯว่าจะพยายามเพิ่มปริมาณเข้าซื้อสินค้าจะสหรัฐฯมากขึ้น เพื่อลดการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ ตามที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเรียกร้องไว้

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญกลับมองว่า การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการค้าผ่านการปรับสมดุลของดุลการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ไม่ใช่แก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิผลนัก เนื่องจากดุลการค้าไม่ได้เป็นปัจจัยบ่งชี้ว่าผู้ที่ซื้อสินค้าจากอีกฝ่ายมากกว่าจะเป็นฝ่ายแพ้เสมอไป

ทั้งนี้ แม้บรรดาผู้เชี่ยวชาญจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางการกดดันจีนผ่านการปรับดุลการค้าระหว่าง 2 ประเทศ แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยเกี่ยวกับการกดดันให้จีนเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติของพวกเขาที่มีต่อบริษัทต่างประเทศ

·         กระทรวงพาณิชย์จีนยืนยัน จีนและสหรัฐฯจะมีการเจรจาอย่างลึกซึ่งเกี่ยวกับปัฐหาทางด้านเศรษฐกิจและการค้าของทั้ง 2 ฝ่าย ระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐฯของนายหลิว อี้ รองนายกรัฐมนตรีจีน ในวันที่ 30 – 31 ม.ค. นี้ พร้อมยืนยันว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างทำงานอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมให้กับการประชุมดังกล่าว

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เคยข่มขู่ว่า จะดำเนินการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากเดิม 10% สู่ระดับ 25% เป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญจากยอดนำเข้าจากจีนทั้งหมด จนกว่าจีนจะหาทางจัดการปัญหาการโจรกรรมทางทรัพย์สินทางปัญญา  ปัญหาด้านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี และเปิดกว้างตลาดให้สหรัฐฯสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

ขณะที่ทางการจีนก็มีได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการโจรกรรมทรัพย์สินทางทางปัญญามาโดยตลอด

ทั้งนี้ นายเควิน แฮทเซ็ทต์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว เชื่อมั่นว่าสหรัฐฯและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในวันที่ 1 มี.ค.

·         ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจจะจำกัดปริมาณความต้องการน้ำมัน หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ความเชื่อมั่นในตลาดน้ำมันยังคงอ่อนแอ หลังจากข้อมูลสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 ม.ค. ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 6.6 ล้านบาร์เรล สวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ว่าจะปรับลดลง 42,000 บาร์เรล เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศลดลงในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุง

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 24 เซนต์ที่ระดับ 60.90 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 18 เซนต์ ที่ระดับ 52.44 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com