• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 21 มกราคม 2562

    21 มกราคม 2562 | Economic News
\
·       ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจจีนในปี 2018 ที่จะชะลอตัวลงอย่างมาก

โดยค่าเงินดอลลาร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปิดตลาดในแดนบวกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ธ.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากสัญญาณบวกของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการประกาศตัวเลขภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯที่แข็งแกร่งเกินคาด

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ค่อนข่างทรงตัวที่บริเวณ 96.308 จุด ในวันนี้ หลังจากปิดตลาดที่ระดับ 96.260 จุดในวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.

·       นักวิเคราะห์ FX จาก Commerzbank มองว่า ค่าเงินดอลลาร์มีแรงหนุนบางส่วนจากการเข้าซื้อในฐานะสินทรัพย์ Safe-haven ขณะที่นโยบายการเงินเฟดน่าจะช่วยรองรับเศรษฐกิจสหรัฐฯจากความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้ จึงทำให้ดอลลาร์มีความต้องการในฐานะ Safe-haven ที่แข็งแกร่ง

·       ด้านค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.2% บริเวณ 1.1376 ดอลลาร์/ยูโร และมีแนวโน้มปิดตลาดรายวันในแดนบวกเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสัปดาห์ แต่ยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ระดับ 1.1353 ดอลลาร์/ยูโร

ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.1% บริเวณ 1.2860 ดอลลาร์/ปอนด์

·       ค่าเงินหยวนอ่อนค่าขึ้น 0.2% ไปแตะ 6.7875 หยวน/ดอลลาร์ หลังทราบข้อมูลสถิติของจีนที่เผยว่า จีดีพีจีน Q4/2018 อ่อนตัวลงตามคาดแตะ 6.4% เดิม 6.5%  ขณะที่ภาพรวมตลอดปี 2018 อ่อนค่าลงแตะ 6.6% ชะลอตัวลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1990 ขณะที่ธนาคารกลางจีนกำหนดค่ากลางไว้ที่ 6.7774 หยวน/ดอลลาร์ จากวันศุกร์ที่ 6.7665 หยวน/ดอลลาร์

·       รายงานจาก CNBC เผยว่า ทางการจีนเผยข้อมูลการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2018 ที่มีอัตราการขยายตัวที่ระดับ 6.6% โดยถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1990

สำหรับไตรมาสที่ 4/2018 จีดีพีจีนขยายตัวได้ 6.4% ตามคาด ซึ่งลดลงจาก ไตรมาสที่ 3/2018 ที่ขยายตัวได้ 6.5%

การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมา เป็นเครื่องมือที่บ่งชี้ถึงภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีน ขณะที่จีนมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาหนี้สินในระดับสูง ท่ามกลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมมีการปรับลดการพึ่งพาหนี้สินเพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจระยะยาว นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมากกว่าที่จีนประเมินไว้ ทางด้านข้อมูลเศรษฐกิจที่กำลังถูกเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีสัญญาณได้รับผลกระทบจาก Trade War กับทางสหรัฐฯ

·       ยอดนำเข้าถั่วเหลืองของจีนในช่วงเปิดสัปดาห์แรกของปี 2019 ร่วงลงจากปีก่อน จึงยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลที่ว่ากลุ่มเกษตรกรของสหรัฐฯที่กำลังคาดหวังถึงข้อตกลงการค้าที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างสหรัฐฯและจีนจะได้รับผลกระทบ

อ้างอิงรายงานจาก ClipperData เผยว่า ยอดขนส่งถั่วเหลือของจีนปี 2019 ปรับตัวลงไปประมาณ 37% จากช่วงเริ่มต้น 2 สัปดาห์แรกของปี 2018  ซึ่งการร่วงลงของตลาดได้ยิ่งตอกย้ำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไขทางตลาดการเงินที่เบาบางแลข้อขัดแย้งทางการค้าที่เกิดขึ้น

·       ตลาดสหรัฐฯจะปิดทำการในวันนี้เนื่องในวันหยุดวันนี้ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯยังปิดทำการอย่างต่อเนื่อง จึงอาจทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของทางสหรัฐฯอาจถูกเลื่อนการประกาศออกไป

ขณะที่ประเด็นการเจรจาทางการค้าสหรัฐฯ-จีน น่าจะเป็นประเด็นเด่นในเดือนนี้ที่ต้องจับตา โดยเฉพาะการที่รองนายกฯจีนจะเดินทางมายังสหรัฐฯในระหว่าง 30-31 ม.ค. เพื่อเปิดเจรจารอบใหม่

·       นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีกำหนดจะแถลงการณ์ต่อรัฐสภาในคืนนี้ เกี่ยวกับแผนการดำเนินงานขั้นต่อไปสำหรับกรณี Brexit ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งบรรดา ส.ส. จะมีสิทธิ์เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแผนการดำเนินงาน ก่อนที่รัฐสภาจะมีการหารือกันอีกครั้งภายในวันที่ 29 ม.ค. และการลงมติที่จะตามมาหลังจากนั้นจะเป็นการชี้วัดว่าแผนฉบับใหม่มีแนวโน้มที่จะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอหรือไม่

·       ผลสำรวจโดย Reuters พบว่า บรรดานักเศรษฐศาสตร์มีมุมมองว่า โอกาสที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวภายในปีงบประมาณนี้มีสูงมากขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันจากประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน

โดยบรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้ 0.8% ซึ่งอาจเป็นการหลีกเลี่ยงภาวะชะลอตัวไปได้ แต่ภาพรวมก็ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง

แนวโน้มดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อแนวทางการดำเนินนโยบายของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ที่มีแผนจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิมที่ 8% สู่ระดับ 10% ภายในเดือน ต.ค. ปีนี้ เพื่อที่รัฐบาลจะสามารถนำงบประมาณส่วนนี้ มาดูแลด้านสวัสดิการทางสังคมสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุในประเทศที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นได้รับผลกระทบในทางอ้อมจากประเด็นข้อพิพาทระหว่างจีน-สหรัฐฯ เนื่องจากราคาอุปกรณ์และวัตถุดิบนำเข้าจากประเทศจีน โดยเฉพาะในกลุ่มของเซมิคอนดักเตอร์โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ ต่างมีราคาที่สูงขึ้น

โดยจะเห็นได้จากยอดส่งออกรวมของญี่ปุ่นที่ชะลอตัวลงในเดือน พ.ย. เนื่องจากยอดส่งออกสู่สหรัฐฯและจีนต่างปรับตัวลงอย่างมาก

ทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระบุว่ามีความคืบหน้ามากขึ้นสำหรับการบรรลุข้อตกลงทางด้านกับจีน แต่ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเมื่อถูกสัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวโน้มที่เขาจะพิจารณายกเลิกนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้า

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก IHS Markit มองว่าปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกยังคงสร้างความกังวลให้กับตลาด ไม่ว่าจะเป็น Brexit และผลกระทบที่เกิดจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ขณะที่ผลกระทบที่เกิดกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับในช่วง เดือนที่ผ่านมา

·       ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น  หลังจากการประกาศข้อมูลทางเศรษฐกิจจีนที่ออกมาชะลอตัวไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อย่างที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ท่ามกลางการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 0.2% ที่ะรดับ 62.83 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.2% เช่นเดียวกัน ที่ะรดับ 53.92 เหรียญ/บาร์เรล

CRUDE OIL TECHNICAL ANALYSIS

นักวิเคราะห์จาก Daily FX ประเมินว่า ราคาน้ำมันกำลังปรับขึ้นเข้าใกล้แนวต้านที่บริเวณ 54.51  55.24 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหากราคาปิดเหนือบริเวณดังกล่าวได้ จะแนวต้านถัดไปอยู่ที่บริเวณ 59.05 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่แนวรับระยะสั้นจะอยู่ที่บริเวณ 49.41 -50.15 เหรียญ/บาร์เรล หากหลุดบริเวณนี้ลงมา อาจย่อตัวต่อได้ถึงบริเวณ 42.05 -42.55 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com