• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 21 มกราคม 2562

    21 มกราคม 2562 | Economic News

·         อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับแข็งค่าขึ้นและส่งผลให้ภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วแข็งค่าขึ้นเป็นสัปดาห์แรกนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธ.ค. อันเป็นผลมาจากแนวโน้มเชิงบวกในการเจรจาเพื่อยุติ Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังจากที่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สื่อหลายสำนักบ่งชี้ว่าทั้งสองประเทศกำลังพิจารณาแนวทางการผ่อนปรนก่อนที่ นายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีนจะเดินทางมายังสหรัฐฯในระหว่าง 30-31 ม.ค.นี้ เพื่อหารือกันต่อถึงแนวทางการแก้ไขทางการค้าระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ การที่โฆษกกระทรวงการคลังปฏิเสธรายงานที่ว่า นายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังมีการหารือเพื่อปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนทั้งหมด ก็ได้ช่วยหนุนความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อกลุ่มนักลงทุน และทำให้หุ้นสหรัฐฯฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นมา 0.3% ที่ระดับ 96.352 จุด

·         ค่าเงินปอนด์อ่อนค่ามากที่สุดในคืนวันศุกร์ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่เข้าเทขายทำกำไรหลังจากที่ค่าเงินปอนด์มีการฟื้นตัว อย่างไรก็ดี ภาพรวมรายสัปดาห์ยังคงแข็งค่าขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรในรอบกว่า 1 ปี ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าอังกฤษจะสามารถหลีกเลี่ยง No-Deal สำหรับ Brexit ได้

ค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 1.3เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสัปดาห์ที่มีการปรับขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ ธ.ค. ปี 2017 ขณะที่ค่าเงินปอนด์โดยภาพรวมอ่อนค่าลง 0.65ที่ระดับ 1.2895 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังไปแตะ 1.30 ดอลลาร์/ปอนด์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

·         นายไนเจล ฟาราจ แกนนำคนสำคัญของ Brexit หนึ่งในสมาชิกรัฐสภายุโรปที่มีแนวคิดต่อต้านอียู เผยว่า อังกฤษมีแนวโน้มที่จะเลื่อน Brexit ออกไป และมีโอกาสเห็นการลงประชามติอีกครั้งได้

·         โฆษกประจำตัวนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เผยว่า ในวันศุกร์ที่ผ่านมานางเมย์มีการประชุมร่วมกับรัฐมนตรีระดับสูงบางส่วนเพื่อหาแนวทางการเดินหน้า Brexit หลังจากที่ถูกรัฐสภาปฏิเสธในสัปดาห์ที่แล้ว

·         นายเจเรมี โคบลิน ผู้นำพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาอังกฤษ จะมีการเจรจากับนายกรัฐมนตรีเทเรซ่า เมย์ อีกครั้งภายในวันนี้ เพื่อหาหนทางที่จะผลักดันนโยบาย Brexit ให้เดินหน้าต่อไป แต่ยืนยันจะไม่สนับสนุนแนวคิด No-deal Brexit เป็นอันขาด


ทั้งนี้ หลังจากที่นายเมย์ประสบความล้มเหลวในการหาเสียงสนับสนุนในการลงมติข้อตกลง Brexit เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอได้พยายามเจรจากับตัวแทนจากทุกๆฝ่าย เพื่อหาหนทางผลักดันนโยบาย Brexit ซึ่งเธอมีกำหนดการจะรายงานความคืบหน้าของแผนBrexit ต่อรัฐสภาภายในวันจันทร์นี้ ขณะที่เหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากอียูในเดือน มี.ค. รวมถึงแผน Brexit ที่ยังคงไร้ความคืบหน้าที่ชัดเจน

 

·         รายงานจาก BBC ระบุว่า ภาวะ Shutdown ที่ยาวนานของหน่วยงานสหรัฐฯยังคงดำเนินไป ส่งผลให้ข้าราชการต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในอนาคต โดยข้าราชการกว่า 800,000 รายยังคงว่างงาน โดยปราศจากการได้รับค่าจ้างนับตั้งแต่ที่เกิดภาวะ Shutdown หลังจากที่นายทรัมป์ ยังไม่ได้รับงบประมาณสร้างกำแพงพรมแดนตามที่ร้องขอ

·         นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้ประกาศจะให้การปกป้อง ผู้อพยพที่ต้องการเป็นพลเมืองสหรัฐฯ และผู้อพยพประเภทอื่นๆ เป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นความพยายามเรียกเสียงสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างกำแพงชายแดนจากพรรคเดโมแครตที่พยายามให้ความช่วยเหลือผู้อพยพในกลุ่มดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายปี

โดยนายทรัมป์ระบุว่า นโยบายดังกล่าวจะมอบสิทธิ์ป้องกันให้กับเหล่าผู้อพยพเยาวชนที่ต้องการเป็นพลเมืองสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า “Dreamers” และผู้อพยพประเภทอื่นๆ เป็นระยะเวลา 3 ปี แต่ทางพรรคเดโมแครตไม่เห็นด้วยและปฏิเสธนโยบายดังกล่าวทันที


ทางนายชัค ชูมเมอร์ หัวหน้าพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา ได้กล่าวตำหนิว่า นายทรัมป์เป็นผู้ช่วงชิงสิทธิ์ปกป้องกลุ่มผู้อพยพดังกล่าวไปตั้งแต่แรก การกลับมาเสนอให้ความคุ้มครองในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการจับเป็นตัวประกันแม้แต่น้อย


ขณะที่ทางนางแนนซี่ เปโลซี่ โฆษกประจำสภาผู้แทนราษฎร ได้ระบุว่า ไม่สามารถยอมรับนโยบายดังกล่าวได้ เนื่องจาก ไร้ซึ่งความจริงใจ” ที่จะสนับสนุนคุณภาพชีวิตของผู้อพยพเหล่านี้ พร้อมคาดว่านโยบายดังกล่าวจะไม่ได้รับเสียงสนับสนุนที่เพียงพอไม่ว่าจะมาจากสภาใดก็ตาม

 

·         รายงานจากรอยเตอร์ส คาดว่าข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่จะเปิดเผยในวันนี้จะทำให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบ 28 ปี สำหรับปี 2018 ท่ามกลางภาวะอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัวลง ประกอบกับการถูกเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จึงยิ่งสร้างแรงกดดันให้แก่ทางการจีนเพิ่มมากขึ้นในการเร่งหามาตรการสนับสนุนเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

ผลสำรวจนักวิเคราะห์ของรอยเตอร์ส แสดงให้เห็นว่าช่วงไตรมาสที่ 4 ระหว่างเดือนต.ค.-ธ.ค. ปี2018 เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้เพียง 6.4% โดยปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ระดับ 6.5% และผลดังกล่าวอาจทำให้ภาพรวมจีดีพีปีที่แล้วปรับตัวลงแตะ 6.6%ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1990 หรือลดลงจากที่ปรับทบทวนไปที่ระดับ 6.8ในปี 2017


·         ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดรอบ 2 เดือน ท่ามกลางข่าวที่ว่าจีนจะเดินหน้าขจัดยอดเกินดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ จึงส่งผลให้น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 1.73 เหรียญ คิดเป็น +3.3ที่ระดับ 53.80 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับราคาปิดที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ 21 พ.ย.

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 1.5 เหรียญ คิดเป็น +2.5% ที่ระดับ 62.68 เหรียญ/บาร์เรล และระหว่างวันมีการปรับขึ้นไปทำ High บริเวณ 63 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับราคารายวันที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ 7 ธ.ค.

ภาพรวมราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 ประเภทในสัปดาห์ที่แล้วขยับขึ้นได้ 4% และนับเป็นสัปดาห์ที่ 3 ที่มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com