• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 14 มกราคม 2562

    14 มกราคม 2562 | Economic News
\
·         ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ สามารถปรับแข็งค่าขึ้นได้ในวันนี้ แต่กระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังเป็นปัจจัยที่กดดันไม่ให้ดอลลาร์ปรับแข็งค่าไปได้มากกว่านี้

โดยดอลลาร์ออสเตรเรียและดอลลาร์นิวซีแลนด์ เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับอ่อนค่าลง 0.2% และ 0.1% ตามลำดับ

ซึ่งทั้ง 2 ค่าเงินสามารถปรับแข็งค่าขึ้นมาได้ประมาณ 1.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในสัปดาห์ก่อน ท่ามกลางปริมาณความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่แข็งแกร่งขึ้น หลังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนมีความคืบหน้าไปในทิศทางบวก รวมถึงการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก CMC Markets ประเมินว่า ค่าเงินทั้ง 2 เผชิญแรงเทขายลงมา หลังจากที่แข็งค่าขึ้นได้ในสัปดาห์ก่อน ซึ่งไม่ใช้เรื่องแปลก พร้อมคาดการร์ว่าทั้ง 2 ค่าเงินจะสามารถคงทิศทางแข็งค่าต่อไปได้

ด้านค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินหยวน ปรับอ่อนค่าลง 1.5% ในสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นอัตราอ่อนค่าที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. ปี 2017 หลังความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เริ่มผ่อนคลายไปได้บางส่วน

ขณะที่ CMC Markets คาดการณ์ว่า ค่าเงินหยวนจะสามารถแข็งค่าต่อได้ ขณะที่ตลาดอาจประเมินการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนไว้มากเกินไป

ส่วนดัชนีดอลลาร์ในวันนี้ ปรับแข็งขึ้นเล็กน้อย บริเวณ 95.68 จุด

ค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลง 0.1% บริเวณ 1.1460 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่อ่อนค่าลง 0.3% ในสัปดาห์ก่อนเนื่องจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจอิตาลีออกมาอ่อนแอ จึงเกิดเป็นความกังวลว่าอิตาลีมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ในวันนี้ ที่บริเวณ 108.40 เยน/ดอลลาร์

สำหรับค่าเงินปอนด์อังกฤษปรับแข็งค่า 0.15% บริเวณ 1.2861 ดอลลาร์/ปอนด์ ในวันนี้ ขณะที่ตลาดคาดว่าสัปดาห์นี้ ค่าเงินปอนด์จะมีความผันผวนสูงจากการจับตาดูการลงมติBrexit

·         ค่าเงินยูโรอาจถูกแรงกดดันในยุโรป ท่ามกลางภาวะความกังวลที่เพิ่มขึ้นจากตัวเลขการค้าของจีนที่มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อยุโรป และตลาดการเงินของสหรัฐฯ โดยจีนถือเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 2 ของโลก ที่มีรายงานบ่งชี้ว่ามียอดเกินดุลสูงขึ้นในเดือนธ.ค. ท่ามกลางยอดนำเข้าที่ร่วงลงอย่างมาก ประกอบกับยอดส่งออกออกมาย่ำแย่

ทั้งนี้ อุปสงค์ภายในจีนก็มีแนวโน้มจะได้รับแรงกดดันขาลงที่กดดันภาวะเศรษฐกิจอันเป็นผลจาก Trade War กับสหรัฐฯ และผลที่ตามมาอาจทำให้อัตราการขยายตัวของจีนออกมาแย่ลงด้วยในอนาคตอันใกล้

ยอดส่งออกจีนที่ย่ำแย่อาจส่งผลกระทบหรือเป็นหนึ่งในสัญญาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกที่ดูจะไม่ดีตามไปด้วย

ด้านตลาดหุ้นก็ดูจะได้รับผลกระทบไปด้วยและทำให้ความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ปรับตัวขึ้นแทน ขณะที่ห้นสหรัฐฯ อาทิ S&P500 Futures ที่ ณ ขณะนี้ปรับลงไป 0.70%

ด้านค่าเงินยูโรเมื่อเทียบดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงต่อได้ โดยในทางเทคนิค FX Street สรุปแนวรับ-แนวต้านสำคัญให้ดังนี้:

แนวรับ:

    Previous Daily Pivot Point S1: 1.1434

    Previous Daily Pivot Point S2: 1.1404

    Previous Daily Pivot Point S3: 1.1351

แนวต้าน:

    Previous Daily Pivot Point R1: 1.1516

    Previous Daily Pivot Point R2: 1.157

    Previous Daily Pivot Point R3: 1.1599

·         ค่าเงินหยวนจีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สามารถปิดตลาดได้ผลประกอบการที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. ปี 2005 ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ว่า ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าต่อ

โดยแรงเข้าซื้อค่าเงินหยวนในตลาดอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบปี ท่ามกลางมุมมองของเหล่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่มองค่าเงินหยวนไปในเชิงบวก จึงทำให้ค่าเงินดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้นไปอีก

ทั้งนี้ ปริมาณความต้องการในค่าเงินหยวนแข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ในเดือน ธ.ค. หลังมีสัญญาณการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากเฟด รวมทั้งสัญญาณจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เป็นไปในเชิงบวก ขณะที่แรงเทขายในค่าเงินหยวนเริ่มเบาบางลงในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้

·         อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับลดลงในวันจันทร์ก่อนเปิดตลาดสหรัฐฯ ท่ามบรรดานักลงทุนที่มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะ Shutdown ของสหรัฐฯ และความอ่อนแอของตัวเลขเศรษฐกิจจีน

โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับลดลงสู่ระดับ 2.6757% ขณะที่พันธบัตรสหรัฐฯอายุ 30 ปี ปรับลดลงสู่ระดับ 3.0219% ท่ามกลางอัตราหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯที่ขยายตัวยิ่งขึ้น

การเคลื่อนไหวในช่วงก่อนเปิดตลาดสหรัฐฯวันนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางตัวเลขการส่งออกและนำเข้าของจีนที่ต่างชะลอตัวลงผิดคาด จึงยิ่งตอกย้ำถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

ในขณะเดียวกัน ความแตกแยกระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในรัฐสภาสหรัฐฯ ยังคงบ่งชี้ว่าภาวะ Shutdown ของสหรัฐฯจะยังคงยิดเยื้อต่อไป โดยที่ยังไม่มี่แววว่าจะจบสิ้นลงเร็วๆนี้ อีกทั้งยังได้กลายเป็นภาวะ Shutdown ครั้งที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ไปแล้ว

 ·         ยอดส่งออกจีนออกมาแย่เกินคาดในรอบกว่า 2 ปี ในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดนำเข้าหดตัว จึงบ่งชี้ถึงภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนในปี 2019 รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ทั่วโลกได้

นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวกลับยิ่งเพิ่มความกังวลให้แก่เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบาย ขณะที่ข้อมูลการค้าจีนพบว่ามียอดเกินดุลอย่างมากกับทางสหรัฐฯเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา และอาจทำให้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ  อาจกลับมายิ่งตอกย้ำต่อภาวะการค้าจีนในประเด็นข้อขัดแย้งทางการค้ามากขึ้นได้

อุปสงค์ที่อ่อนตัวลงของจีนจะยิ่งบั่นทอนความกังวลให้แก่เศรษฐกิจโลก อันประกอบไปด้วยยอดขายสินค้าที่ตกลงอย่าง iPhones รวมทั้งผลประกอบการกลุ่มยานยนต์ที่เริ่มกล่าวเตือนผลประกอบการของตัวเอง อันได้แก่บริษัท Apple และ Jaguar Land Rover

ข้อมูลการค้าที่ย่ำแย่ของจีน สะท้อนว่า เศรษฐกิจจีนเริ่มสูญเสียภาวะขยายตัวในช่วงปลายปีที่แล้วมากกว่าปีก่อนๆ แม้ว่าจะมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อไม่กี่เดือนจาการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนการปรับลดภาษี

นักวิเคราะห์บางส่วน มีการคาดการณ์กันว่า จีนอาจมีการเร่งดำเนินการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นในปีนี้หลังจากที่กิจกรรมภาคอุตสาหกรรมโรงงานหดตัวลงในเดือนธ.ค.

ยอดส่งออกที่ปรับตัวลงเกินคาดแตะ 4.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ควบคู่กับอุปสงค์ในตลาดส่วนใหญ่ที่กำลังอ่อนตัว ขณะที่ยอดนำเข้าปรับตัวลงอย่างมากกว่า 7.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ก.ค. 2016

นักวิเคราะห์จาก Capital Economics กล่าวว่า ยอดส่งออกที่ร่วงลงเกินคาด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เพราะถูกฉุดรั้งจากภาวะการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ขณะที่ยอดนำเข้าหดตัวลงอย่างมากจากอุปสงค์ที่ชะลอตัว และเราคาดว่าทั้งยอดนำเข้าและส่งออกจะยังอ่อนตัวในไตรมาสข้างหน้าด้วย ขณะเดียวกันนโยบายผ่อนคลายทางการเงินก็ดูไม่มีทีท่าจะช่วยดันอุปสงค์ทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นจนกว่าจะถึงช่วงครึ่งปีหลัง โดยที่ยอดนำเข้าก็ยังมีแนวโน้มจะอ่อนตัว

·         นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีกำหนดจะขึ้นกล่าวถ้อยแถลงภายในรัฐสภา คืนนี้เวลาประมาณ 21.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยถ้อยแถลงครั้งนี้น่าจะเป็นการกล่าวเรียกความเชื่อมั่นกลับเข้ามาในแผน Brexit หลังพรรคไอร์แลนด์ประกาศจะไม่ให้การสนุนสนุนนโยบายดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อน

ทั้งนี้ รัฐสภาอังกฤษมีกำหนดจะลงมติข้อตกลง Brexit ภายในคืนพรุ่งนี้ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่าร่างนโยบายจะไม่สามารถผ่านการลงมติ 

·         อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กอร์ดอน บราวน์ คาดการณ์ว่าการลงมติข้อตกลง Brexit ในรัฐสภาคืนพรุ่งนี้ มีแนวโน้มสูงที่จะไม่สามารถเรียกเสียงสนับสนุนได้เพียงพอ

พร้อมเตือนว่า หากการลงมติล้มเหลว พรรคฝ่ายค้านมีแนวโน้มที่จะเรียกร้องให้เกิดการโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้ภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองของอังกฤษยิ่งยืดเยื้อออกไป และเป็นผลเสียต่อภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว 

·         รายงานจาก CNBC ระบุว่า บรรดา ส.ส. ในรัฐสภาอังกฤษมีกำหนดจะร่วมลงมติข้อตกลง Brexit ภายในคืนพรุ่งนี้ ขณะที่เหลือเวลาไม่ถึง 3 เดือนก่อนอังกฤษจะถอนตัวออกจากอียูอย่างเป็นทางการ

ขณะที่แนวโน้มที่การลงมติจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เป็นสิ่งตลาดคาดการณ์เอาไว้

ส่วนผลที่น่าจะตามมาหลังการลงมติ ตลาดคาดการณ์เอาไว้หลายกรณีด้วยกัน ได้แก่  1) ภาวะล่มสลายของสหรัฐฯ 2) การถอนตัวแบบ No deal หรือ 3)การที่กระบวนการBrexit ถูกยกเลิกทั้งหมด

นักวิเคราะห์จาก Nomura ประเมินว่า เนื่องจากความมั่นคงทางการเมืองของอังกฤษอยู่ในระดับที่สูงมาก จึงทำให้แนวโน้มที่การดำเนินการขั้นต่อไปของรัฐบาลจะเป็นไปได้ทั้ง 3กรณีมีโอกาสแทบจะเท่าๆกัน

·         ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง 1% โดยราคาน้ำมัน Brent ลดลงต่ำกว่าระดับ 60 เหรียญ/บาร์เรล ที่บริเวณ 59.88 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากข้อมูลยอดส่งออกจีนออกมาแย่เกินคาดในรอบกว่า 2 ปี ในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดนำเข้าหดตัว จึงบ่งชี้ถึงภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนในปี 2019 รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ทั่วโลกได้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.1% ที่ระดับ 51 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com