• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 14 มกราคม 2562

    14 มกราคม 2562 | Economic News


·         ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นท่ามกลางปริมาณการซื้อขายปานกลาง  โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทางเทคนิค หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์ไปแตะระดับแนวต้านสำคัญ แม้ว่าภาพรวมแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์จะยังเป็นภาวะอ่อนค่าจากสัญญาณระมัดระวังของเฟดในการดำเนินการขึ้นดอกเบี้ย


·         รองประธานบริษัท Tempus Inc. กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าได้อีกครั้งจากคำสั่ง Stop-Loss หลังจากที่ยูโรไปแตะระดับแนวต้านสำคัญ ขณะเดียวกันก็ยังไม่เห็นปัจจัยพื้นฐานใดๆที่จะขับเคลื่อนค่าเงินดอลลาร์ในขณะนี้ได้มากกว่าการที่ยูโรแตะแนวต้านแล้วถูกแรงขายกลับลงมา และเกิดการเข้าซื้อดอลลาร์


จะเห็นได้ว่ารายงานประชุมเฟดที่สะท้อนว่าเฟดจะยืดหยุ่นในการดำเนินงานก็ดูจะทำให้ดอลลาร์เกิดแรงเทขายลงมา และหนุนให้ยูโรแข็งค่าขึ้นไปทำHigh 1.1581 ดอลลาร์/ยูโร และทำให้ผ่านเส้นค่าเฉลี่ยราย 100 วันได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน


อย่างไรก็ดี ภาพรวมตลาดการเงินดูจะตอบรับกับโอกาสที่เฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยปีนี้


·         ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นไป 0.14% ที่ระดับ 95.67 จุด ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงมา 0.3ที่ 1.1464 ดอลลาร์/ยูโร


·         ค่าเงินหยวนปรับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ค.เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ท่ามกลางข่าวที่จีนและสหรัฐฯขยายเวลาการเจรจา ประกอบกับจีนให้คำมั่นที่จะเดินหน้าสนับสนุนทางการเงินในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัยบวกที่หนุนให้เงินหยวนแข็งค่า

·         ดัชนีราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกใน 9 เดือน เมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางการปรับลดลงของราคาน้ำมัน ขณะที่แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากราคาค่าเช่าที่อยู่อาศัยและค่ารักษาสุขภาพยังคงปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค ในเดือน ธ.ค. ออกมาลดลง 0.1% ซึ่งเป็นการปรับลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ขณะที่ดัชนีCPI ในเดือน พ.ย. ประกาศออกมาทรงตัว ทั้งนี้ ภาพรวมดัชนี CPI ในช่วงเวลา 12 เดือนจนถึงเดือน ธ.ค. ปรับสูงขึ้นได้ 1.9% เทียบกับ 2.2% ในเดือน พ.ย.


ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน ในปรับเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือน ธ.ค. ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ด้วยอัตราการขยายตัวเทียบเท่ากัน สำหรับภาพรวมดัชนี Core CPI ในช่วงเวลา 12 เดือนจนถึงเดือน ธ.ค. ดัชนีปรับสูงขึ้น 2.2% เท่ากับในเดือน พ.ย.


การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อในเดือน ธ.ค. ออกมาตรงกับคาดการณ์ของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ในขณะที่เฟด ซึ่งมีเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2% มักจับตาไปยังการประกาศดัชนี PCE Price Index เพื่อแนวทางการนโยบายมากกว่า

โดยดัชนี PCE Price Index เดือน พ.ย. ปรับสูงขึ้น 1.9% ในภาพรวมรายปี หลังจากที่ขยายตัวได้ 1.8% ในเดือน ต.ค. โดยทำระดับสูงสุดที่ 2% ในเดือน มี.ค. เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน เม.ย. ปี 2012

การปรับร่วงลงอย่างหนักของราคาน้ำมันท่ามกลางภาวะอุปทานล้นตลาดและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยที่กดดันไม่ให้อัตราเงินเฟ้อสามารถขยายตัวได้เต็มที่ ขณะที่ราคาน้ำมันที่ถูกลงมีส่วนช่วยให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานถูกกดดันลงมาบางส่วน เนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกลง


ทั้งนี้ เฟดยังคงคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ไว้ที่ 2 ครั้ง แต่การขยายตัวของเงินเฟ้อในระดับปานกลางอาจช่วยสนับสนุนให้บรรดาสมาชิกเฟดรวมถึงประธานเฟดมีมุมมองไปในเชิงระมัดระวังและชะลอการปรับดอกเบี้ยภายในปีนี้มากขึ้น

·         ภาวะ Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯได้ดำเนินเข้าสู่วันที่ 22 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยทียังคงไร้วี่แววว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ในเร็วๆนี้ และได้กลายเป็นภาวะ Shutdown ที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน เมื่อปี 1995-1996 ที่ภาวะ Shutdown คงอยู่ถึง 21 วัน

ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงยืนยันจะไม่ยอมลงนามในร่างงบประมาณใดๆที่ไม่มีการรวมงบประมาณก่อสร้างกำแพงเป็นมูลค่า 5 พันล้านเหรียญให้เป็นอันขาด แม้ทางวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันคนสนิทของนายทรัมป์จะพยายามโน้มน้าวให้นายทรัมป์พิจารณาสนับสนุนร่างงบประมาณที่จะเข้ามาหยุดภาวะ Shutdown เป็นการชั่วคราวก็ตาม

·         นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวเตือนว่าทางรัฐสภาไม่ให้การสนับสนุนนโยบาย Brexit ของเธอ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็จะเป็นภัยพิบัติต่ออังกฤษและอียู ก่อนหน้าการลงมตินโยบาย Brexit ในรัฐสภาวันที่ 15 ม.ค. นี้

ล่าสุดนายเมย์ได้ออกมายอมรับว่า ความเป็นไปได้ที่ทางรัฐสภาจะกีดกันนโยบาย Brexit ของเธอ มีสูงกว่าโอกาสที่อังกฤษจะออกจากอียูแบบ No-deal

·         นางมารีน เลอ แปน ผู้นำพรรคฝั่งขวาจัดในรัฐบาลฝรั่งเศส เริ่มต้นโครงการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งในสภาอียูที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 พ.ค. โดยพยายามเรียกเสียงสนับสนุนจากกลุ่มผู้ชุมนุม เสื้อกั๊กเหลือง ที่ไม่พึงพอใจการดำเนินนโนบายของนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส โดยเฉพาะเรื่องราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นความรุนแรงขึ้นในกรุงปารีส และยังคงยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้

·         สำนักข่าว Xinhua ระบุว่า กระทรวงทรัพยากรมนุษย์แห่งประเทศจีนอาจมีการออกนโยบายใหม่เพื่อเข้ามาช่วยรักษาอัตราจ้างงานให้มีความสมดุลภายในปีนี้

ท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ โดยรัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะปรับเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงสู่ระดับ 6  6.5% จากเดิมที่ 6.5% ในปี 2018

·         สำนักงานด้านกฎหมาย Baker & McKenzie ระบุว่า ปริมาณการลงทุนจากประเทศจีนสู่อเมริกาเหนือและยุโรปปรับลด 73% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี ท่ามกลางรัฐบาลสหรัฐฯที่พยายามกีดกันการลงทุนจากประเทศจีน รวมถึงทางรัฐบาลจีนเองที่พยายามควบคุมการลงทุนให้อยู่ภายในประเทศเท่านั้น

ตัวเลขดังกล่าวเป็นการสะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งเมื่อพิจาณาจากการถอนทุนบริษัทด้วยแล้ว ปริมาณการลงทุนจากจีนสู่สหรัฐฯถือว่าเข้าสู่แดนลบ

ทั้งนี้ ปริมาณการลงทุนจากจีนสู่สหรัฐฯปรับลดลง 83% แต่ในทางกลับกัน ปริมาณการลงทุนจากจีนสู่แคนาดากลับเพิ่มขึ้น 80% สำหรับภาพรวมการลงทุนสู่ยุโรปแม้ว่าจะปรับลดลง แต่การลงทุนสู่เยอรมนี ฝรั่งเศส และสเปน กลับเพิ่มสูงขึ้น

·          หน่วยงานต่อต้านการคอรัปชั่นในประเทศจีนระบุว่า ภายในปีนี้รัฐบาลจะมุ่งเน้นการกำจัดคอรัปชั่นไปยังภาคการศึกษา ภาคการพยาบาล ภาคสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงภาคอื่นๆที่ได้รับการร้องเรียนมา

ทั้งนี้ การต่อสู้กับการคอรัปชั่นในประเทศถือเป็นหนึ่งในนโยบายบริหารประเทศหลักของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และถึงแม้ว่าการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาจะเป็น ชัยชนะอย่างล้นหลามของรัฐบาล แต่การคอรัปชั่นที่ฝังรากลึกเข้าไปในสังคมจีนยังจำเป็นต้องถูกกำจัดออกไป

·         ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงประมาณ 2% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ภาพรวมก็สามารถปิดรายสัปดาห์สูงขึ้น จากความหวังต่อการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน

น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 1 เหรียญ คิดเป็น -1.9% ที่ 51.59 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลง 1.15 เหรียญ คิดเป็น -1.9% ที่ 60.53 เหรียญ/บาร์เรล


วันศุกร์ที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่าราคาน้ำมันปิดปรับตัวลงหลังจากที่ปิดขึ้นต่อเนื่อง 9 วันทำการ และนับเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ม.ค. 2010 สำหรับ WTI ละดีที่สุดสำหรับ Brent นับตั้งแต่ เม.ย. 2007 และโดยภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วน้ำมันดิบ WTI ปิด +7.5% ขณะที่ Brent ปิด +6%


·         นายโมฮัมเม็ด บาร์กินโด เลขาธิการโอเปก มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดน้ำมันที่จะบรรลุเป้าหมายความมีดุลยภาพในปี 2019 แต่ก็ยังมีความกังวลว่าความเป็นไปได้ของ Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีนจะเป็นอุปสรรคสำหรับการขยายตัวของประเทศหลักในตลาดเอเชีย ที่มีการนำเข้าน้ำมันได้

·         รัฐบาลสหรัฐฯกล่าวเตือนภาคบริษัทในเยอรมนีว่า หากยังคงให้การสนับสนุนการก่อสร้างท่อส่งน้ำมัน Nord Stream 2 ร่วมกับรัสเซีย สหรัฐฯอาจมีหารออกนโยบายมาคว่ำบาตรภาคบริษัทเหล่านี้ได้

โดยท่อส่งน้ำมันดังกล่าว จะช่วยขนส่งน้ำมันจากรัสเซียสู่เยอรมนีผ่านใต้ทะเลบอลติก ซึ่งผู้คัดค้านได้กล่าวเตือนว่าอาจทำให้ประเทศยูเครนสูญเสียรายได้จากการเก็บค่าขนส่งน้ำมัน และอาจกลายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจยูเครนได้ในอนาคต


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com