• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 11 มกราคม 2562

    11 มกราคม 2562 | SET News

image.png

·         ดัชนี S&P500 ปิด +0.4% ที่ 2,596.64 จุด โดยยังคงปิดแดนบวกได้ติดต่อกัน 5 วันทำการ โดยได้รับอานิสงส์หลักจากหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมเป็นหลัก ขณะที่ดาวโจนส์ปิดขขึ้น 122.80 จุด ที่ระดับ 24,001.92 จุด และปิดแดนบวกติดต่อกัน 5 วันทำการเช่นกัน โดยเมื่อคืนนี้ได้แรงหนุนหลักจากหุ้นบริษัทโบอิ้ง และดัชนี Nasdaq เมื่อวานนี้ปิด +0.4% ที่ 6,986.07 จุด


หุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวานนี้ได้ แต่ก็เป็นการปรับขึ้นอย่างจำกัด โดยตลาดยังคงมีความผิดหวังจากยอดขายของบริษัท Macy’s และการหั่นแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท American Airlines ที่ส่งผลให้หุ้นกลุ่มยอดค้าปลีกและสายการบินอ่อนตัวลง ประกอบกับตลาดยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะ Shutdown ที่อาจดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังเป็นปัจจัยที่เข้ากดดันตลาดหุ้นอยู่

 

·         ตลาดหุ้นยุโรปเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มุ่งให้ความสนใจไปยังประเด็นความคืบหน้าเรื่อง Trade War ประกอบกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ประกาศปรับลดแรงงาน โดยดัชนี Stoxx600 ปิดปรับขึ้น 0.3%


บริษัท Jaguar Land Rover (JLR) ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์รายใหญ่ในยุโรป กล่าวว่าจะปรับลดพนักงานลง 10% ซึ่งส่วนใหญ่นั้นมีตลาดอยู่ในอังกฤษ ขณะที่บริษัท Ford ก็จะทำการปรับลดพนักงานนับพันคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการให้บริษัทยังบรรลุผลตามเป้าหมายการจัดการ 6% ในยุโรป

image.png

·         ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับขึ้นในเช้าวันนี้ท่ามกลางความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ปรับขึ้นตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยดัชนีนิกเกอิเปิด +0.8ท่ามกลางดัชนี  Topix ที่เปิด +0.6% ขณะที่หุ้น Kosip ของเกาหลีใต้เปิด +0.3%

·         นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.85 - 32.00 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทมีแนวโน้มจะแข็งค่าต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเจรจาพูดคุยกันระหว่างสหรัฐฯและจีนออกมาค่อนข้างดี จึงทำให้นักลงทุนออกจาก safe heaven ไปถือสินทรัพย์อื่น

นอกจากนี้  ในรายงานการประชุมของเฟด ล่าสุดออกมาว่าสามารถอดทนต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ และก่อนที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกรอบ จะพิจารณาความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน

·         ผู้ว่าธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวในระดับ 4% ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอลง และมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ธปท.พร้อมจะใช้เครื่องมือทางการเงินเข้ามาดูแล หากเห็นว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยืนยันการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายยังมีความเหมาะสมในระยะข้างหน้า และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ผู้ว่าฯยังระบุว่า ไม่กังวลแม้อัตราเงินเฟ้อของไทยจะอยู่ในกรอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงิน (1-4%) เนื่องจากแม้อัตราเงินเฟ้อจะต่ำ แต่การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนยังเป็นไปอย่างปกติ เศรษฐกิจเติบโตอยู่ในระดับที่มีศักยภาพ การบริโภค การจ้างงาน และการลงทุนยังขยายตัวได้ดี แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่า คือ หากอัตราเงินเฟ้อสูงเกินกรอบเพดานเป้าหมาย จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะเงินเฟ้อที่สูงจะกระทบศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และปัญหาด้านสังคมตามมา

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com