• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 12 ธันวาคม 2561

    12 ธันวาคม 2561 | Economic News

• ค่าเงินปอนด์รีบาวน์หลังจากมีรายงานว่า ทีมงานของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษมีความเชื่อมั่นว่าจำนวนของพวกเขาเพียงพอที่จะไม่ลงมติโหวตไม่ไว้วางใจต่อความเป็นผู้นำในตัวเธอ

ทั้งนี้ ค่าเงินปอนด์หลังจากที่ร่วงลงไปทำระดับต่ำสุดรอบ 20 เดือนบริเวณ 1.2490 ดอลลาร์/ปอนด์ ก็ปรับขึ้นได้กว่า 0.5% และกลับมาซื้อขายเหนือ 1.26 ดอลลาร์/ปอนด์อีกครั้ง

ขณะที่เมื่อวานนี้ นางเมย์ มีการเข้าพบกับบรรดาผู้นำยุโรป เพื่อให้ร่วมสนับสนุนข้อตกลงของเธอ ขณะที่ทางอียูปฏิเสธที่จะกลับมาเจรจากับนายกอังกฤษอีกครั้ง ทางด้านโฆษกประจำตัวของนางเมย์ เผยว่า รัฐสภาอังกฤษจะมีการโหวตลงคะแนนเสียงข้อตกลง Brexit อีกครั้งก่อน 21 ม.ค. นี้ แลหากไม่มีข้อตกลงใดๆ ทางรัฐสภาฯจะต้องเปิดวาระการอภิปรายอีกครั้ง

• ค่าเงินดอลลาร์ปรับขึ้นทำระดับสูงสุดรอบ 1 เดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางสหรัฐฯและจีนที่มีการหารือถึงแผนการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ Trade Warของทั้งสองประเทศ

ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้น 0.18% ที่ระดับ 97.396 จุด ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ช่วงต้นตลาดพุ่งไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 28 พ.ย. ที่ระดับ 97.545 จุด

• เมื่อวานนี้ ทางทำเนียบขาวเผยว่า นายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีน, นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รวมทั้งผู้แทนทางการค้าสหรัฐฯอย่าง นายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ มีการพูดคุยร่วมกันผ่านทางโทรศัพท์ แต่ยังไม่มีใครให้รายละเอียดถึงการหารือใดๆ

• บรรดานักวิเคราะห์มองว่า การพูดคุยทางโทรศัพท์ร่วมกันดังกล่าวเพื่อหาทางบรรเทาความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และลดความกังวลว่า Trade War จากทั้งสองฝ่ายจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

• ค่าเงินยูโรถูกดดันจากเหตุประท้วงในฝรั่งเศสต่อแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของ นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ขณะที่นักลงทุนให้ความสนใจไปยังการประเมินทิศทางเศรษฐกิจยูโรโซนในการประชุมอีซีบีวันพฤหัสบดีนี้

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบัน Fitch Ratings คาดว่า อีซีบีจะส่งสัญญาณสิ้นสุดการเข้าซื้อพันธบัตร แต่จะยังไม่มีแนวโน้มกล่าวย้ำถึงการขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนที่ส่งสัญญาณอ่อนแอทั่วภูมิภาค

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.26% ที่ระดับ 1.1325 ดอลลาร์/ยูโร

• รายงานจาก BBC News ระบุว่า มีจดหมายเพียงพอที่จะเกิดการเปิดการลงมติไม่ไว้วางใจต่อตัวนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่ก็มีแหล่งข่าววงในระบุว่า ยังมีหลายฝ่ายที่ยังคงเชื่อมั่นในตัวเธอ โดยคาดว่าจะมีการลงมติเร็วที่สุดภายในคืนนี้

• รายงานจาก Sky News ระบุว่า เจ้าหน้าที่อังกฤษกล่าวเตือนชาติสมาชิกยุโรปว่า Brexit แบบ No-deal นั้นจะสร้างความเสี่ยงครั้งใหญ่ต่อระบบการเงินและเป็นอุปสรรคต่อภาคธนาคาร

• รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯและตัวแทนทางการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า พวกเขามีความตั้งใจจะลงสัญญาณใหม่ของข้อตกลงกับทางอังกฤษเพื่อเป็นการรับประกันต่อกลุ่มผู้ควบคุมตลาด และเพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อหลังจากที่อังกฤษเลือกออกจากอียู

• ข้อมูลดัชนีผู้ราคาผู้ผลิตสหรัฐฯ หรือ PPI ปรับตัวขึ้นในเดือนพ.ย. ท่ามกลางค่าใช้จ่ายในภาคบริการที่เพิ่มขึ้น จึงช่วยชดเลยกับการปรับตัวลงของสินค้ากลุ่มพลังงาน แต่ภาพรวมของการค้าปลีกและเงินเฟ้อดูจะยังชะลอตัวลง

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด หากเฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ขณะที่เฟดถูกคาดว่าจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนหน้าและตลาดรอดูทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2019 ว่าจะสามารถปรับขึ้นได้เท่าใด

• รายงานจาก Bloomberg กล่าวว่า จีนเดินหน้าปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตโดยสหรัฐฯสู่ระดับ 15% จากปัจจุบันที่ 40% ขณะที่ทางการสหรัฐฯกล่าวกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ส โดยระบุว่า จีนมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการจะปรับลดภาษี แต่สหรัฐฯจะรอดูรายละเอียดและกรอบเวลาที่ชัดเจนและเป็นทางการอีกครั้ง

ขณะที่ นายทรัมป์ ทวิตเตอร์ แสดงความคิดเห็นว่า เขาและทีมบริหารค่นอข้างพอใจและมีความคืบหน้ากับการหารือกับจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นเมื่อวานนี้ โดยฟื้นตัวกลับหลังจากที่ร่วงลงไปในคืนวันจันทร์ โดยตลาดได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ และการปรับลดกำลังการผลิตในลิเบีย หลังกลุ่มติดอาวุธเข้ายึดบ่อน้ำมันเอล ชารารา ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดของลิเบีย รวมทั้งการที่รัสเซียมีแผนจะปรับลดกำลังการผลิตในเดือนหน้า

สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปิดขึ้น 23 เซนต์ ที่ระดับ 60.20 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่เมื่อวานไปทำ ระดับสูงสุดที่ 61.10 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 65 เซนต์ คิดเป็น +1.3% ที่ระดับ 51.65 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากช่วงต้นตลาดปรับขึ้นไปกว่า 2% ทำ High ที่ 52.43 เหรียญ/บาร์เรล

• เนชั่นแนล ออยล์ คอปอเรชั่น (NOC) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของรัฐบาลลิเบีย ได้ประกาศภาวะสุดวิสัย (force majeure) ด้านการส่งออกน้ำมันจากบ่อน้ำมันเอล ชารารา พร้อมระบุว่าการปิดบ่อน้ำมันเอล ชาราราจะทำให้การผลิตน้ำมันต่อวันของลิเบียลดลงประมาณ 315,000 บาร์เรล และส่งผลให้บ่อน้ำมันเอลฟีลที่มีการผลิตต่อวันอยู่ที่ 73,000 บาร์เรล ต้องหยุดลงด้วยเนื่องจากต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจากบ่อน้ำมันเอล ชารารา ดังนั้น การปิดบ่อน้ำมันจะทำให้เกิดการสูญเสียรายได้ 32.5 ล้านดอลลาร์ต่อวัน

• รัสเซีย ประกาศ แผนจะทำการปรับลดกำลังการผลิตลง 50,000 – 60,000 บาร์เรล/วันในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากการทยอยปรับลดการผลิตตามข้อตกลงการประชุมที่ผ่านมาที่จะปรับลดภายใต้เงื่อนไข 220,000 บาร์เรล/วัน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com