• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561

    21 พฤศจิกายน 2561 | Economic News

·         ค่าเงินดอลลาร์กลับแข็งค่าหลังลงไปทำต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์วานนี้ ท่ามกลางแรงเทขายที่เกิดขึ้นในตลาดโลกและทำให้นักลงทุนเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย โดยกลุ่มนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่ถ้อยแถลงเชิงผ่อนคลายนโยบายของเฟดจากมุมมองเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุน


ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้น 0.3% ที่ 96.510 จุด หลังลงไปทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 7 พ.ย. ทางด้านค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงหลังตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงตาม และหุ้นธนาคารของอิตาลีปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 2 ปี ประกอบกับพันธบัตรอิตาลีเผชิญแรงเทขายจากการที่อิตาลีและอียูยังคงมีการหาแนวทางของแผนงบประมาณอิตาลี โดยยูโรร่วงลง 0.4ที่ระดับ 1.1401 ดอลลาร์/ยูโร

·         อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่หนีความผันผวนจากตลาดหุ้นและเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ หรือพันบัตรรัฐบาล

·         ค่าเงินปอนด์อังกฤษรีบาวน์ขึ้นมาเล็กน้อยบริเวณ 1.2856 ดอลลาร์/ปอนด์ สูงกว่าระดับต่ำสุดในรอบวันที่ระดับ 1.2821 ดอลลาร์/ปอนด์ขึ้นมาประมาณ 0.3% หลังตลาดรับถ้อยแถลงของนายมาร์ค คาร์นีย์ ประธานบีโออี ที่กล่าวสนับสนุนแผนการเจรจา Brexit ของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่ภาพรวมตลาดยังคงมีความกังวลกับ Brexit อยู่ ค่าเงินจึงไม่สามารถปรับแข็งค่าขึ้นได้มากนัก

โดยนายคาร์นีย์และบรรดาคณะกรรมการบีโออี ได้กล่าวเตือนตลาดว่า อย่าได้คาดหวังว่าทางบีโออีจะตอบรับกับกรณี No-deal Brexit ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เหมือนในช่วงการลงประชามติ Brexit เมื่อปี 2016


ขณะที่นักวิเคราะห์จาก MUFG กล่าวว่า ถ้อยแถลงของนายคาร์นีย์ไม่มีความแตกต่างจากที่ตลาดรับทราบมากนัก แม้จะช่วยให้ตลาดผ่อนคลายความกังวลได้บ้าง แต่ภาพรวมความกังวลของตลาดก็ยังคงมีอยู่ในระดับสูงอยู่ดี

·         นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีกำหนดจะพบกับนายฌอง คล็อด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการแห่งอียู ภายในวันพุธนี้ ท่ามกลางความหวังจากหลายๆฝ่ายว่าทั้งสองจะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างอังกฤษและอียู ซึ่งนางเมย์ยังคงเผชิญแรงกดดันจากเสียงคัดค้านภายในประเทศ เนื่องจากรัฐสภาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับแผน Brexit ของเธอ

สิ่งที่หลายๆฝ่ายจะจับตา คือการเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงเบื้องต้นระหว่างทั้งสองฝ่ายที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากจะเป็นการบ่งชี้ถึงทิศทางความสัมพันธ์ในอนาคตของทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนหน้าที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากอียูอย่างเป็นทางการหลังวันที่ 29 มี.ค. 2019


 อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการเจรจาในวันนี้ จะอยู่ที่การหาข้อตกลงร่วมกันในประเด็นหลักๆ ก่อนที่จะเข้าสู่การประชุมพิเศษเกี่ยวกับ Brexit ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ที่จะเข้าร่วมโดยนางเมย์ และบรรดาผู้นำในอียูทั้งหมด 27 คน

·         นักเศรษฐศาสตร์จาก JP Morgan คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอตัวในปี 2019 ที่ระดับ 1.9ในปีนี้ จากระดับ 3.1ในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบรายปี จากนโยบายการเงิน และนโยบายการค้าที่ดูจะเป็นปัจจัยหนุน รวมทั้งข้อจำกัดทางธุรกิจที่มากขึ้น แต่ถึงแม้เศรษฐกิจชะลอตัวแต่แนวโน้มของค่าแรงมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นและสะท้อนถึงภาวะแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน


สำหรับเฟดมีแนวโน้มจะปรับดอกเบี้ยขึ้นให้ได้ 3.25-3.50% ในช่วงสิ้นปีหน้า โดยคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 3 ครั้งในปีหน้า หลังจากที่อีกหนึ่งครั้งในปีนี้จะเกิดขึ้นเดือนธ.ค.


อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาตร์ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวได้เหนือ 2ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า ที่ระดับ 2.2 และ 2%ตามลำดับ ก่อนจะร่วงลงมาที่ 1.7ในไตรมาสที่ 3 และ 1.5ในไตรมาสที่ 4 ส่งผลให้ภาพรวมมีอัตราการขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสแรกของปี 2017 ที่ขยายตัวได้ 2%



·         นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวตำหนิการดำเนินงานของเฟดอีกครั้งเมื่อคืนนี้ โดยระบุว่า เขาต้องการเห็นเฟดทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมองว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่สูงเกินไป และระบุว่าเขามีปัญหากับเฟดมากกว่าฝ่ายอื่นๆ รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะกำลังประสบปัญหา

·         รายงานจาก CNBC ระบุว่า นายทรัมป์ได้เขียนคำตอบลงในเอกสารสอบสวนและส่งกลับไปยังทีมสืบสวนพิเศษของนายโรเบิร์ต มูลเลอร์ ที่กำลังสืบสวนความเกี่ยวข้องกันระหว่างรัสเซียและการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในเอกสารดังกล่าว รวมถึงคำตอบของนายทรัมป์ ต่างไม่ได้ถูกรายงานออกสู่สาธารณะ

·         นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่าเขาจะรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับซาอุดิอาระเบียไว้ตามเดิม แม้ว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย อาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมนายจามาล คาช็อคกี้ ก็ตาม

·         ถ้อยแถลงดังกล่าวของนายทรัมป์ขัดแย้งกับมุมมองของเหล่า ส.ส. ในรัฐสภา ที่ต่างสนับสนุนให้ทรัมป์พิจารณาคว่ำบาตรซาอุฯ ขณะที่นายทรัมป์ยังได้ยืนยันอีกว่าสหรัฐฯจะไม่ยกเลิกความสัมพันธ์ทางการทหารกับซาอุฯ เพราะการดำเนินการดังกล่าวเป็นความ โง่เขลา” และจะเป็นการสร้างผลประโยชน์ด้านการค้าอาวุธให้กับประเทศคู่แข่งอย่างจีนหรือรัสเซีย

·         ราคาน้ำมันดิบร่วงลงเกือบ 7% เมื่อคืนนี้ และเป็นการกลับมาทรุดตัวอีกครั้งหลังปรับขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ  จากแรงเทขายครั้งใหม่ที่กลับสู่ตลาดและฉุดให้ตลาดกลับเป็นขาลงอีกครั้ง

ทั้งนี้ แรงเทขายในกลุ่มพลังงานครั้งใหม่ได้ฉุดให้หุ้นพลังงานปรับตัวลงตาม และทำให้ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงไปกว่า 500 จุด  ขณะที่ประธานบริษัทลิโป้ ออยล์ แอสโซซิเอช (Lipow Oil Associates) ระบุว่า ความกังวลครั้งต่อไปคือการร่วงลงของดัชนีที่เกิดขึ้นจะสะท้อนถึงภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และนั่นอาจบั่นทอนการขยายตัวของภาวะอุปสงค์น้ำมันด้วย


น้ำมันดิบ WTI ปิดลง 3.77 เหรียญ คิดเป็น -6.6% ที่ 53.43 เหรียญ/บาร์เรล และระหว่างวันมีการทำ Low ที่ระดับ 52.77 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ต.ค. ปี 2017


น้ำมันดิบ Brent ปิดลง 4.43 เหรียญ คิดเป็น -6.6% ที่ 62.36 เหรียญ/บาร์เรล ระหว่างวันทำต่ำสุดนับตั้งแต่ ธ.ค. ปี 2017 ที่ 61.71 เหรียญ/บาร์เรล


ภาพรวมราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 31% จากระดับสูงสุดรอบ 4 ปีในเดือนต.ค. ขณะที่ Brent ร่วงลง 29% จากระดับสูงสุดในเดือนดังกล่าวเช่นกัน



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com