• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561

    20 พฤศจิกายน 2561 | Economic News

·        ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางแรงกดดันจากถ้อยแถลงของบรรดาประธานเฟดสาขาย่อยที่กล่าวแสดงความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกและความอ่อนแอของปัจจัยทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยจำนวนครั้งที่น้อยลง

โดยดัชนีดอลลาร์เคลื่อนไหวแบบอ่อนค่าแถวบริเวณ 96.17 จุด หลังจากที่ปรับอ่อนค่าลงมาประมาณ 0.5% ในสัปดาห์ก่อน แตะระดับต่ำสุดของเดือน ก.ย.

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก NAB คาดการณ์ว่า ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสที่จะกลับแข็งค่าขึ้นมาได้ เนื่องจากตลาดอาจพิจารณาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดว่าเป็นเชิงผ่อนคลายทางการเงินมากเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการกลับตัวในค่าเงินดอลลาร์ได้ นอกจากนี้ หากเห็นดัชนี VIX แถวระดับ 25 จุด ก็มีโอกาสที่ค่าเงินดอลลาร์จะปรับแข็งค่าขึ้นมาได้เช่นกัน โดยปัจจุบัน ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่แถวระดับ 20.10 จุด

·        ค่าเงินเยนทรงตัวแถวบริเวณ 112.55 เยน/ดอลลาร์ โดยค่าเงินระดับแข็งค่าสุดรายวันที่ระดับ 112.38 เยน/ดอลลาร์ในช่วงต้นตลาด ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าที่สุดของเดือน พ.ย. แต่นักวิเคราะห์กลับมองว่า โอกาสที่ค่าเงินเยนจะแข็งค่าต่อมีความเป็นไปได้ต่ำ เนื่องจากกระแสการลงทุนของบรรดานักลงทุนญี่ปุ่นยังคงหนาแน่นอยู่ในตลาดสหรัฐฯและต่างประเทศอื่นๆ ขณะที่กระแสการลงทุนในญี่ปุ่นเองถือว่าค่อนข้างเงียบเหงา

·        ขณะที่ค่าเงินยูโรมีเข้าซื้อขึ้นมาแถวบริเวณ 1.1456 ดอลลาร์/ยูโร โดยค่าเงินสามารถแข็งค่าขึ้นมาได้เกือบ 2% ใน 5 ช่วงตลาดที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความตึงเครียดทางการเมืองจากประเด็น Brexit และแผนงบประมาณของอิตาลีกดดันอยู่บ้างก็ตาม

image.png

·        Goldman Sachs ธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 ท่ามกลางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และแรงหนุนจากนโยบายปรับลดลภาษีที่อ่อนกำลังลง

โดย Jan Hatzius หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ระบุว่า อัตราการเติบโตในปัจจุบันของเศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ที่มากกว่า 3.5% แต่มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงสู่ระดับ 1.75% ในช่วงปลายปี 2019 โดยภาวะการคุมเข้มทางการเงินที่มากยิ่งขึ้น ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลักที่อ่อนกำลังลง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจ

image.png

·        รายงานจาก Reuters ระบุว่า เฟดถูกคาดการณ์ว่าจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน .ค. นี้ และอีก 3 ครั้งในปี 2019 แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่กลับว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจกลายเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ขณะที่แบบสำรวจของ Reuters คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวในอีก 2 ปีข้างหน้า แม้ว่าความเป็นไปได้จะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ขยับขึ้นมาเป็น 35% จากเดิมที่ 30% ขณะที่โอกาสเกิดภาวะชะลอตัวในอีก 12 เดือนข้างหน้า ล่าสุดอยู่ที่ 15%

·        ที่ปรึกษาประจำธนาคารกลางแห่งประเทศจีน ชี้แนะว่า หากจีนเปิดรับการค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดจากความขัดแย้งทางการค้าร่วมกันสหรัฐฯได้ พร้อมระบุว่า รัฐบาลจีนไม่สามารถที่จะถอยหลังออกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกต่อไป

·        นายทาโร่ อาโซะ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งญี่ปุ่น เรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าแผนปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิมที่ 8% สู่ระดับ 10% ภายในเดือน ต.ค. ปี 2019 ตามวางแผนที่วางไว้ตามเดิม เพื่อนำงบประมาณที่จะได้เพิ่มจากส่วนนี้มาพัฒนาด้านสาธารณสุขและเพื่อปรับสมดุลของแผนงบประมาณญี่ปุ่นภายในปี 2025

·        ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง โดยถูกกดดันจากแรงเทขายในตลาดหุ้นหลังราคาปรับตัวลดลงไปในช่วงก่อนหน้านี้ จากกระแสคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มโอเปกเตรียมปรับลดกำลังการผลิต

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.6% ที่ระดับ 66.37 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลง 0.5% ที่ะรดับ 56.94 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com