· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางแรงกดดันจากถ้อยแถลงของบรรดาประธานเฟดสาขาย่อยที่กล่าวแสดงความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกและความอ่อนแอของปัจจัยทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยจำนวนครั้งที่น้อยลง
โดยดัชนีดอลลาร์เคลื่อนไหวแบบอ่อนค่าแถวบริเวณ 96.17 จุด หลังจากที่ปรับอ่อนค่าลงมาประมาณ 0.5% ในสัปดาห์ก่อน แตะระดับต่ำสุดของเดือน ก.ย.
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก NAB คาดการณ์ว่า ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสที่จะกลับแข็งค่าขึ้นมาได้ เนื่องจากตลาดอาจพิจารณาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดว่าเป็นเชิงผ่อนคลายทางการเงินมากเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการกลับตัวในค่าเงินดอลลาร์ได้ นอกจากนี้ หากเห็นดัชนี VIX แถวระดับ 25 จุด ก็มีโอกาสที่ค่าเงินดอลลาร์จะปรับแข็งค่าขึ้นมาได้เช่นกัน โดยปัจจุบัน ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่แถวระดับ 20.10 จุด
· ค่าเงินเยนทรงตัวแถวบริเวณ 112.55 เยน/ดอลลาร์ โดยค่าเงินระดับแข็งค่าสุดรายวันที่ระดับ 112.38 เยน/ดอลลาร์ในช่วงต้นตลาด ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าที่สุดของเดือน พ.ย. แต่นักวิเคราะห์กลับมองว่า โอกาสที่ค่าเงินเยนจะแข็งค่าต่อมีความเป็นไปได้ต่ำ เนื่องจากกระแสการลงทุนของบรรดานักลงทุนญี่ปุ่นยังคงหนาแน่นอยู่ในตลาดสหรัฐฯและต่างประเทศอื่นๆ ขณะที่กระแสการลงทุนในญี่ปุ่นเองถือว่าค่อนข้างเงียบเหงา
· ขณะที่ค่าเงินยูโรมีเข้าซื้อขึ้นมาแถวบริเวณ 1.1456 ดอลลาร์/ยูโร โดยค่าเงินสามารถแข็งค่าขึ้นมาได้เกือบ 2% ใน 5 ช่วงตลาดที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความตึงเครียดทางการเมืองจากประเด็น Brexit และแผนงบประมาณของอิตาลีกดดันอยู่บ้างก็ตาม
· Goldman Sachs ธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 ท่ามกลางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และแรงหนุนจากนโยบายปรับลดลภาษีที่อ่อนกำลังลง
โดย Jan Hatzius หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ระบุว่า อัตราการเติบโตในปัจจุบันของเศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ที่มากกว่า 3.5% แต่มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงสู่ระดับ 1.75% ในช่วงปลายปี 2019 โดยภาวะการคุมเข้มทางการเงินที่มากยิ่งขึ้น ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลักที่อ่อนกำลังลง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจ
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า เฟดถูกคาดการณ์ว่าจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน .ค. นี้ และอีก 3 ครั้งในปี 2019 แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่กลับว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจกลายเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะที่แบบสำรวจของ Reuters คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวในอีก 2 ปีข้างหน้า แม้ว่าความเป็นไปได้จะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ขยับขึ้นมาเป็น 35% จากเดิมที่ 30% ขณะที่โอกาสเกิดภาวะชะลอตัวในอีก 12 เดือนข้างหน้า ล่าสุดอยู่ที่ 15%
· ที่ปรึกษาประจำธนาคารกลางแห่งประเทศจีน ชี้แนะว่า หากจีนเปิดรับการค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดจากความขัดแย้งทางการค้าร่วมกันสหรัฐฯได้ พร้อมระบุว่า รัฐบาลจีนไม่สามารถที่จะถอยหลังออกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกต่อไป
· นายทาโร่ อาโซะ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งญี่ปุ่น เรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าแผนปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิมที่ 8% สู่ระดับ 10% ภายในเดือน ต.ค. ปี 2019 ตามวางแผนที่วางไว้ตามเดิม เพื่อนำงบประมาณที่จะได้เพิ่มจากส่วนนี้มาพัฒนาด้านสาธารณสุขและเพื่อปรับสมดุลของแผนงบประมาณญี่ปุ่นภายในปี 2025
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง โดยถูกกดดันจากแรงเทขายในตลาดหุ้นหลังราคาปรับตัวลดลงไปในช่วงก่อนหน้านี้ จากกระแสคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มโอเปกเตรียมปรับลดกำลังการผลิต
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.6% ที่ระดับ 66.37 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลง 0.5% ที่ะรดับ 56.94 เหรียญ/บาร์เรล