• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561

    19 พฤศจิกายน 2561 | Economic News
• ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักส่วนใหญ่ หลังสมาชิกเฟดแสดงความกังวลเกี่ยวกับกระแสการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลดลงไป

โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยบริเวณ 96.45 จุด หลังจากที่อ่อนค่าลงมา 0.5% ในคืนวันศุกร์ ซึ่งดัชนีได้ทำระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือน ที่ระดับ 97.69 จุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา

ค่าเงินเยนอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่บริเวณ 112.68 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่แข็งค่า 0.9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงเข้าซื้อค่าเงินเยนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากความกังวลในภาวะทางการเมืองของยุโรป โดยเฉพาะประเด็น Brexit และ แผนงบประมาณของอิตาลี

ด้านค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.1% บริเวณ 1.1403 ดอลลารื/ยูโร หลังจากเคลื่อนไหวฝนแดนบวกได้ติดต่อกัน 4 ช่วงตลาด แม้ปัจจัยทางเศรษฐกิจจะประกาศออกมาค่อนข้างอ่อนแอก็ตาม

• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่า มีการยื่นเรียกร้องให้มีการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเข้ามาแล้ว แต่จำนวนของการยื่นเรียกร้องยังไม่เพียงพอที่จะทำให้รัฐสภาสามารถจัดการลงมติได้

ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายของรัฐบาลอังกฤษ จำเป็นต้องมีการยื่นเรียกร้องอย่างน้อย 48 รายก่อน จึงจะสามารถจัดการลงมติได้ โดยปัจจุบันมีการเรียกร้องเข้ามาและเป็นที่สาธารณะทราบแล้วทั้งสิ้น 20 ราย
ถ้าเกิดการลงมติไม่ไว้วางใจขึ้นจริง นางเมย์ก็จำเป็นต้องเรียกร้องสนับสนุนเธอให้ได้อย่างน้อย 50% จากรัฐสภาทั้งหมด ซึ่งหากมองในทางบวก ถ้านางเมย์สามารถเรียกเสียงสนับสนุนได้มากพอ เธอก็จะสามารถดำรงในตำแหน่งต่อไปโดยไม่ถูกเรียกร้องได้เป็นเวลาอีก 1 ปี และการลงมติอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดภายในวันจันทร์นี้
• นาย Francois Villeroy de Galhau คณะกรรมาธิการประจำอีซีบี กล่าวว่า นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของอีซีบีจะคงอยู่ต่อไปหลังอีซีบียกเลิกการเข้าซื้อพันธบัตรภายในเดือน ธ.ค. แต่อีซีบีจะสามารถเปลี่ยนนโยบายการเงินเข้าสู่ระดับปกติได้หากจำเป็น
• นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าบีโอเจ กล่าวเตือนว่า ผลประกอบการที่ย่ำแย่ลงของธนาคารระดับภูมิภาค อาจเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจ เนื่องจากความไม่มั่นคงทางการเงินได้
ทั้งนี้ ธนาคารระดับภูมิภาคของญี่ปุ่นยังคงได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงจำนวนประชากรที่ลดลง และจำนวนกิจการในแต่ละภูมิภาคของญี่ปุ่นที่เริ่มลดน้อยลง
• รายงานจากกระทรวงการคลังแห่งญี่ปุ่น เปิดเผยยอดส่งออกของประเทศรีบาวน์ขึ้นมาได้ในเดือน ต.ค. หลังจากการส่งออกชะลอตัวลงในเดือน ก.ย. ท่ามกลางแรงหนุนจากการส่งออกรถยนต์ที่ขยายตัว แม้ว่าปริมารอุปสงค์ทั่วโลกจะเริ่มชะลอตัวจากแรงกดดันที่เกิดจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนก็ตาม

ทั้งนี้ ยอดส่งออกในเดือน ต.ค. ขยายตัวได้ 8.2% แต่น้อยกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ที่ระดับ 9.0%

• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวเตือนว่า หากรัฐสภาพยายามที่จะผลักดันให้เธอออกจากตำแหน่ง นั่นจะเป็นเพียงแค่การทำให้ Brexit ยื้อเยื้อออกไปเท่านั้น พร้อมยืนยันว่าความสั่นคลอนในตำแหน่งของเธอ จะไม่เป็นการทำให้จุดมุ่งหมาย Brexit ของเธอสั่นคลอนแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม นายจอห์นสัน บอริส อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งอังกฤษ ได้กล่าวเตือนว่า คำกล่าวของนางเมย์ที่ได้กล่าวว่า อังกฤษและอียูจะสามารถแก้ไขข้อตกลงร่วมกันได้ในอนาคต หากการเจรจาในปัจจุบันไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้งๆ หรือการพยายามโกหกประชาชนของเธอเพียงเท่านั้น

• เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลอิตาลี กล่าวว่า หัวใจหลักของแผนงบประมาณปี 2019 ของอิตาลีจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่รัฐบาลมีหนทางมากกว่า “หนึ่งพัน” หนทางที่จะปรับปรุงให้ร่างงบประมาณมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงโอกาสที่รัฐบาลอิตาลีอาจประกาศแผนเทขายทรัพย์สินหรือหุ้นในบริษัทต่างๆได้

ขณะที่ทางอียูกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาการลงโทษอิตาลี เนื่องจากละเมิดของตกลงด้านงบประมาณของอียู ซึ่งอาจการเป็นการบังคับให้อิตาลีจ่ายค่าปรับกับทางอียู

• นักลงทุนและบรรดาผู้นำระดับโลกให้ความสำคัญกับการพบกันของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ณ ประเทศอาร์เจนตินาร์ สัปดาห์หน้า

ซึ่งการประชุม G-20 ที่ผู้นำคนสำคัญทั้งสองประเทศจะพบกันได้จะเกิดขึ้นระหว่าง 30 พ.ย. - 1ธ.ค.

• ความแตกต่างของการพบกันในครั้งนี้จะแตกต่างจากที่ประชุม APEC ที่ผลปรากฎว่าประเทศสมาชิกทั้งหมดไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า เหตุการณ์สำคัญจริงๆแล้วอยู่ที่การประชุมในประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งทุกคนต่างคาดหวังถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะยังไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร ขณะที่ความขัดแย้งของทั้งสองประเทศเป็นประเด็นหลักของตลาดตลอดปีนี้ จากการที่ต่างฝ่ายต่างขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าซึ่งกันและกัน

• บรรดาผู้นำประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการร่างสนธิสัญญาทางการร่วมกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ระหว่างการประชุมAPEC ที่จัดขึ้นในประเทศปาปัวนิวกินีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังคงยิดเยื้อและกดดันความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจทั่วโลก

นอกจากนี้ ตลาดจะจับตาความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯหลังมีสัญญาณว่าสหรัฐฯน่าจะมีการออกนโยบายมาตอบโต้นโยบายถนนสายไหมของรัฐบาลจีน

• ปัญหาข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนได้บั่นทอนให้ไอเอ็มเอฟ ทำการดาวน์เกรดแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้า ขณะที่ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯอย่างCiti ก็มีแผนจะถ่ายโอนภาวะห่วงโซ่อุปทานจากนโยบายภาษีสินค้าที่เพิ่มขึ้น แต่ก็คาดหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเจรจาร่วมกันได้

ที่ปรึกษาด้านการลงทุนจาก J.P. Morgan Asset Management มองว่า ความกังวลต่อภาวะการขัดแย้งทางการค้าของสองประเทศได้สั่นคลอนตลาดโลก และอาจทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อทั้งสองประเทศในอีก 6 เดือนข้างหน้า แต่หากมีผลลัพธ์เชิงบวกจากการพบกันในการประชุม G20 ก็ดูเหมือนจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดทั้งสองประเทศนั้นผ่อนคลายลง หรืออาจมีแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันก็เป็นได้

• ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 1% หลังมีข่าวว่าซาอุดิอาระเบียจะสนับสนุนให้บรรดาผู้ผลิตน้ำมันร่วมกันลดกำลังการผลิตเพื่อหนุนราคาน้ำมันก่อนสิ้นปีนี้

โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปิด +0.9% หรือ +0.60 เหรียญ ที่ระดับ 67.36 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิด +1.3% หรือ +0.71 เหรียญ ที่ระดับ 57.17 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com