• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561

    19 พฤศจิกายน 2561 | Economic News

·         ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลงหลังจากที่สมาชิกเฟดสองรายมีท่าทีกังวลต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังจากที่ถูกเทขายไปท่ามกลางความกังวลข้อตกลง Brexit


·         ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร และอ่อนค่าลงในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน หลังจากที่ นายริชาร์ด แคลริด้า รองประธานเฟด กล่าวกับสถานีข่าว CNBC ว่า มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ขณะที่เรื่องนโยบายดอกเบี้ยระยะสั้นที่กำลังเข้าใกล้ระดับปกตินั้นต้องมีการปรับดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับระดับปกติ


เทรดเดอร์ตอบรับในเชิงถ้อยแถลงที่มีท่าทีผ่อนคลายต่อการดำเนินนโยบายหรืออาจชะลอดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น จึงทำให้ดอลลาร์ถูกกดดันลงมา


·         ทางด้าน นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวกับสำนักข่าว Fox Business โดยระบุว่า ภาวการณ์ขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกดูจะผันผวน และอาจส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯได้


ซึ่งถ้อยแถลงของสมาชิกเฟดทั้งสองรายได้ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงมา 0.7% สู่ระดับ 1.141 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่อ่อนค่าลง 0.7เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 112.82 เยน/ดอลลาร์


ด้านนายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก ตระหนักถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ แต่เฟดก็ยังมีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยได้เหนือระดับปกติที่ 3.25หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงออกมาดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้


·         ค่าเงินปอนด์กลับมาแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรหลังจากที่ร่วงลงไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 25 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร ขณะที่ปรับแข็งค่าขึ้น 0.42เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ที่ระดับ 1.2829 ดอลลาร์/ปอนด์  ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้รับเสียงสนับสนุนกรณีข้อตกลง Brexit ต่อแผนที่เธอร่างไว้ในการออกจากอียูเดือนมี.ค. ปีหน้า แม้ว่าการลาออกของรัฐมนตรีบางส่วนของเธอจะประกาศลาออกเพื่อคัดค้านแผนดังกล่าว และทำให้เงินปอนด์ร่วงลงตั้งแต่พฤหัสบดีที่แล้ว


·         ด้านค่าเงินยูโรได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่านายกรัฐมนตรีอิตาลีกำลังมองหาแนวทางการทำงานร่วมกันเกี่ยวกับร่างงบประมาณรัฐบาลฉบับปี 2019 กับทางอียู  ขณะที่นักลงทุนจับตาการพบกันข้องผู้นำสหรัฐฯและจีนที่อาจช่วยบรรเทาความตึงเครียดจากข้อขัดแย้งทางการค้าได้ และนั่นส่งผลให้เงินหยวนแข็งค่าลงมา 0.13% ที่ 6.92 หยวน/ดอลลาร์


ทั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาอาจไม่ทำการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน หากการพบกับผู้นำจีนในเร็วๆนี้สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้

·         นายโดมินิค แรบ อดีตรัฐมนตรีกระทรวง Brexit  ชี้ว่าข้อตกลง Brexit ของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีจุดบอดที่ร้ายแรง แต่นางเมย์ยังมีโอกาสที่จะแก้ไขข้อตกลงดังกล่าวได้

ทั้งนี้ นายแรบได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถยอมรับข้อตกลง Brexit ดังกล่าวได้ และได้กล่าวว่า หากมีการลงมติไม่ไว้วางในนายกรัฐมนตรี เขาจะให้การสนับสนุนนางเมย์ แต่มองว่าในปัจจุบันรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเจรจา Brexit เสียก่อน


ขณะที่นางเมย์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Sky News โดยระบุว่า ในอีก 7 วันข้างหน้า จะเป็นวันสำคัญที่จะบ่งชี้ถึงอนาคตของประเทศอังกฤษ


นอกจากนี้ ทางสถาบัน BDI ของเยอรมันได้กล่าวเตือนว่า หากเกิดกรณี Hard-brexit หรือกรณีที่อังกฤษถอนตัวออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ จะเป็นผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจอังกฤษและเศรษฐกิจในยูโรโซนทั้งหมด โดยเฉพาะกับภาคการผลิตรถยนต์ อากาศยาน สารเคมี เภสัชกรรม วิศวกรรม และอุตสาหกรรมไฟฟ้า

·         รายงานจาก Reuters ระบุว่า บรรดาผู้นำประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการร่างสนธิสัญญาทางการร่วมกันในการประชุม APEC ที่จัดขึ้นในประเทศปาปัวนิวกินีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

·         ทางการเกาหลีใต้ ระบุว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนมีกำหนดการจะไปเยือนเกาหลีเหนือในปีหน้าหลังจากได้รับการเชิญจาก นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่นายสี เดินทางไปเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005

·         อดีตนายกรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของจีน กล่าวว่า จีนควรปรับลดภาษีเงินได้ภาคบริษัทและรายบุคคลเพื่อสนับสนุนการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ

·         ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงหลังจากที่ผันผวนตลอดการซื้อขายวันศุกร์เพราะได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มโอเปกจะมีมติเห็นพ้องกันปรับลดกำลังการผลิตในเดือนหน้า แม้ว่าราคาจะปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 จากภาวะความกังวลต่อภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด

ซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบของโอเปกจะปรับลดกำลังการผลิตลง 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน หรือประมาณ 1.5ของภาวะอุปทานโลกเพื่อสนับสนุนราคาน้ำมันในตลาด ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่ามีแนวโน้มที่รัสเซียจะเห็นด้วยกับข้อตกลงดังกล่าว


น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 14 เซนต์ คิดเป็น +0.2% ที่ 66.76 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วปิดลง 4.6ซึ่งเป็นการปรับลงติดต่อกันสัปดาห์ที่ 6


น้ำมันดิบ WTI ปิดทรงตัวที่ 56.46 เหรียญ/บาร์เรล โดยมีการแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 55.89-57.96 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วปรับลงไปประมาณ 5.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 เช่นกัน 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com