• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561

    15 พฤศจิกายน 2561 | Economic News


·        ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.34% ที่บริเวณ 1.13255 ดอลลาร์/ยูโร หลังได้รับข่าวความคืบหน้าของการเจรจาข้อตกลง Brexit ระหว่างนายกรัฐมนตรีอังกฤษและบรรดารัฐมนตรีอาวุโส ขณะที่ค่าเงินยังมีแรงกดดันจากร่างงบประมาณของอิตาลี และตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาค่อนข้างอ่อนแอเมื่อวานนี้


ค่าเงินปอนด์อังกฤษรีบาวน์ขึ้นมาได้ 0.2% ที่บริเวณ 1.2999 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่อ่อนค่าหลุดระดับ 1.29 ดอลลาร์/ปอนด์ ลงมาในช่วงเมื่อคืน ท่ามกลางแรงหนุนจากข่าวที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษสามารถเรียกเสียงสนับสนุนในรัฐสภาได้มากพอ ที่จะทำให้ร่างข้อตกลง Brexit สามารถเดินหน้าต่อไปได้ 

ด้านดัชนีดอลลาร์ ปรับอ่อนค่าลง 0.45% บริเวณ 96.867 จุด หลังขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือน ที่ 97.693 จุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

·        นายเจอโรม โพเวล ประธานเฟด กล่าวว่า การที่เฟดมีการจัดแถลงข่าวหลังการประชุมในทุกครั้ง นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในการประชุมทั้งหมด 8 ครั้งในแต่ละปี ไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมักจะเกิดขึ้นการประชุมที่มีการแถลงข่าวภายหลังเพียง 4 ครั้งต่อปี ซึ่งตลาดจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับความเป็นไปได้นี้

·        สรุปถ้อยแถลงของนายโพเวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยทั่วไปแล้วนายโพเวลมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แต่เฟดกำลังจับตาปัจจัยเสี่ยงอย่างการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ผลกระทบจากนโยบายปรับลดภาษี และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเอง

นอกจากนี้ นายโพเวลได้กล่าวว่า เฟดกำลังจับตาสัญญาณการชะลอตัวในภาคอสังหาฯของสหรัฐฯ เพราะในปัจจุบันมีปัจจัยหลายอย่างที่กดดันการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น ราคาของวัตถุดิบ หรือความขาดแคลนแรงงาน เป็นต้น รวมถึงจะจับตาระดับหนี้สินของภาคบริษัท แม้ว่าเฟดจะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังเติบโตได้อย่างมั่นคงก็ตาม

ทั้งนี้ นายโพเวลยังคงยืนยันว่าการกล่าวโจมตีเฟดทางการเมือง จะไม่ส่งผลกระทบให้เฟดเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินอย่างแน่นอน

·        รายงานจาก Reuters ระบุว่า จีนได้มีการตอบรับจดหมายของสหรัฐฯที่เรียกร้องให้จีนทำการปฏิรูประบบการค้าเป็นวงกว้าง แม้รายงานจะไม่ได้ระบุว่าจีนตอบกลับเช่นไร แต่อาจเป็นการส่งสัญญาณทั้ง 2 ฝ่าย อาจสามารถกลับมาเจรจาร่วมกันอีกครั้งเพื่อยุติความขัดแย้งทางการค้าได้

ทั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ถูกคาดการณ์ว่าจะได้พบกันในการประชุม G20 ที่จะจัดขึ้นในประเทศอาร์เจนติน่า ช่วงสิ้นเดือน พ.ย. นี้

·        คณะกรรมการประจำสภาคองเกรสแห่งสหรัฐฯรายงานว่า มีความเป็นไปได้ที่จีนอาจผ่อนคลายนโยบายคว่ำบาตรกับเกาหลีเหนือ พร้อมสั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและนำส่งรายงานภายระยะเวลา 180 วัน

โดยในรายงานดังกล่าว คณะกรรมการบังคับให้มีการตรวจสอบและลงรายชื่อองค์กรในประเทศจีนที่มีการดำเนินธุรกิจร่วมกับเกาหลีเหนือ เพื่อนำรายชื่อเหล่านั้นไปพิจารณาออกนโยบายคว่ำบาตรเพิ่มเติมในอนาคต

·        นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สามารถเรียกเสียงสนับสนุนในร่างข้อตกลง Brexit จากบรรดารัฐมนตรีอาวุโสได้หลังการประชุมเมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ตาม ร่างข้อตกลงดังกล่าวยังจำเป็นต้องได้รับมติเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน ซึ่งบรรดาพรรคฝ่ายค้านหรือแม้แต่พรรคของนางเมย์เองได้ส่งสัญญาณว่าจะไม่ให้การสนับสนุน แม้จะยังไม่ได้เห็นรายละเอียดของข้อตกลงก็ตาม

·        ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นได้ประมาณ 1% หลังเผชิญแรงเทขายอย่างหนักติดต่อกันเกือบ 12 วันทำการ จากข่าวที่ว่ากลุ่มโอเปกและประเทศผู้ผลิตน้ำมันอาจพิจาณาปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมเดือนหน้า เพื่อช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นได้

โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปิด +1% หรือ 0.65 เหรียญ ที่ระดับ 66.12 เหรียญ/บาร์เรล ทำระดับสูงสุดรายวันที่ 67.63 เหรียญ/บาร์เรล

ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิด +1.01% หรือ 0.56 เหรียญ ที่ระดับ 56.25 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com