ค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่าขึ้นอีก 0.25% ท่ามกลางเหล่าเทรดเดอร์ที่ลดสถานะ Short หลังอังกฤษและอียูเห็นพ้องกันในข้อตกลงขั้นต้นและอาจอนุมัติให้อังกฤษสามารถออกจากอียูที่อาจช่วยหลีกเลี่ยงความยากลำบากจากการ Brexit
ความท้าทายของนายกรัฐมนตรีอังกฤษยังไม่หมดเนื่องจากจะมีการโหวตในสภาต่อ โดยกลุ่มผู้สนับสนุนของเทอกำลังกล่าวหาว่าเธอยอมจำนนต่ออียู และวันนี้ทางสภาฯจะมีการพิจารณาร่างข้อตกลงการถอนตัว
ขณะที่ความเชื่อมั่นเชิงบวกดังกล่าวได้หนุนให้ค่าเงินยูโรขยับขึ้น 0.14% ที่ระดับ 1.1305 ดอลลาร์/ยูโร แต่การแข็งค่าขึ้นเป็ฯไปอย่างจำกัดจากข้อเสนองบประมาณอิตาลี และความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมนีที่ปรับตัวลดลง
· ค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่าขึ้นวันนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มีความมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับข่าวอังกฤษครั้งใหม่ ที่มีการร่างข้อตกลงการออกจากอังกฤษกับอียูได้หลังจากที่เจรจากันยืดเยื้อแรมปี
· สภาคองเกรสแห่งสหรัฐฯมีความคิดเห็นว่า รัฐบาลควรจัดตั้งกองทุนขึ้น เพื่อต่อกรกับรัฐบาลจีนในแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่กำลังพัฒนาและได้รับอิทธิพลจากจีนในด้านระบอบบริหารประเทศเป็นแบบเดียวกับของจีน
ทั้งนี้ ทางสภาฯมีความคิดเห็นว่า การที่จีนพยายามขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะการก่อสร้างสะพาน หรือเครือข่ายต่างๆ ออกไปสู่ประเทศที่กำลังพัฒนาไม่ว่าจะในทวีปเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง หรือยุโรปก็ตาม เพื่อให้จีนสามารถใช้เป็นข้ออ้างในการวางกองกำลังทางการทหารของจีนไว้ในพื้นที่ดังกล่าวได้ โดยที่จีนมีการดำเนินการแบบนี้มาแล้วนับตั้งแต่ปี 2002
· นายเจอโรล เนดเลอร์ ว่าที่หัวหน้าพรรคเดโมแครตในสภาล่างของสหรัฐฯ เตรียมตั้งทีมตรวจสอบผลกระทบของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีต่อการดำเนินงานและความน่าเชื่อถือของกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงาน FBI
โดยจดหมายที่นายเนอเลอร์เขียนและส่งถึงเจ้าหน้าที่ด้านกฏหมายระดับสูงในสภาสหรัฐฯ ได้ระบุว่า “การที่นายทรัมป์กล่าวโจมตีหน่วยงานด้านความยุติธรรม น่าจะเป็นความพยายามต้องการปกป้องตัวเขาเอง รวมถึงครอบครัว และธุรกิจของเขา ออกจากการตรวจสอบของหน่วยงานยุติธรรม
· Brexit ยังคงประเด็นที่ตลาดยุโรปจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากความไม่แน่นอนว่าการเจรจาดังกล่าวจะนำเศรษฐกิจยุโรปไปสู่ทิศทางใด
โดยล่าสุด นายลูอิส เดอ กวีนดอส รองประธานอีซีบี ได้ออกมากล่าวว่า ประเด็น Brexit ยังประเด็นที่น่ากังวลและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรป แต่ยังไม่ไม่มีความชัดเจนความผลลัพณ์ของ Brexit จะออกมาเช่นไร
· นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะพยายามโน้มน้าวให้บรรดารัฐมนตรีระดับสูงยอมรับร่างข้อตกลง Brexit กับอียูในการประชุมของรัฐสภาคืนนี้ แม้ว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยจะระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นผลเสียต่อความมั่นคงของอังกฤษ
· นายเจนส์ เวียดแมนส์ ประธานธนาคารกลางเยอรมนีหรือ Bundesbank กล่าวว่า อีซีบีจะใช้เวลานานในการสิ้นสุดนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและปรับนโยบายสู่ภาวะปกติ และคาดว่าพวกเขาน่าจะยังคงดอกเบี้ยต่อไปจนถึงช่วงฤดูร้อนปีหน้า ก่อนจะค่อยๆปรับขึ้นดอกเบี้ย
· นางเซซิเลีย มาร์มสตอร์ม กรรมาธิการด้านการค้าประจำสหภาพยุโรป คาดการณ์ว่าสหรัฐฯจะไม่ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากยุโรปในขณะที่การเจรจาทางการค้าระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายยังคงดำเนินอยู่ แม้ว่าทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯจะกำลังพิจารณาปกป้องอุตสาหกรมรถยนต์ของตัวเองจากการนำเข้าก็ตาม
· เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสที่ 3/2018 ชะลอตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2015 ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่กดดันการส่งออกของประเทศ
โดยจีดีพีรายไตรมาสของเยอรมนีประกาศออกมาชะลอตัวลง 0.2% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะชะลอตัว 0.1% เทียบกับของไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 1.1%
· รัฐบาลอิตาลีนำส่งร่างงบประมาณสำหรับปีหน้าให้กับอียูอีกครั้ง โดยยังคงคาดการณ์การเติบโตและยอดขาดดุลไว้ดังเดิม เทียบเท่ากับร่างงบประมาณฉบับก่อนหน้าที่ถูกอียูปฏิเสธไป แต่ในฉบับนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณหนี้สินให้ลดน้อยลง
โดยนโยบายของอียูกำหนดให้ประเทศที่มีระดับหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง ทำการปรับลดคาดการณ์ยอดขาดดุลและระดับหนี้สินลงในทุกๆปีงบประมาณ
ทั้งนี้ รัฐบาลอิตาลียังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2019, 2020 และ 2021 ไว้ดังเดิม แม้ทาง IMF ได้ระบุไว้ว่าอัตราการเติบโตดังกล่าวสูงเกินกว่าที่จะเป็นไปได้จริง ส่วนยอดขาดดุลของรัฐบาลในปี 2019 ร่างงบประมาณคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสูงระดับ 2.4% จากเดิมในปีนี้ที่ 1.8% ขณะที่ระดับหนี้สาธารณะน่าจะปรับลดลงได้ เนื่องจากรัฐบาลมองว่าจะได้รับแรงหนุนจาก GDP ที่จะเติบโตได้ 1%
· รองนายกรัฐมนตรีอิตาลีกล่าวว่า หากอียูจะเก็บค่าปรับจากอิตาลีเนื่องในกรณีที่รัฐบาลอิตาลีได้ละเมิดข้อตกลงของอียูเกี่ยวกับร่างงบประมาณ จะถือเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์
· เศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอตัวลงกว่าที่คาดในไตรมาสที่ 3/2018 ท่ามกลางผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและยอดส่งออกที่ชะลอตัวลง ท่ามกลางความกังวลว่านโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ กำลังส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก
โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงเดือน ก.ค. – ก.ย. ชะลอตัวลง 1.2% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.0% เทียบกับในไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 3.0%
· ผลประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีนประจำเดือน ต.ค. ออกมาผสมผสานกันในวันนี้ โดยยอดค้าปลีกที่อ่อนแอลงเป็นปัจจัยกดดันให้การบริโภคภายในประเทศชะลอตัวลง แม้ว่าข้อมูลของภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนที่แข็งแกร่งขึ้น จะบ่งชี้ถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้นก็ตาม
โดยยอดค้าปลีกในเดือน ต.ค. ประกาศออกมาขยายตัวได้ 8.6% จากปีก่อนหน้า แต่นักวิเคราะห์เดิมทีคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลงเพียงเล็กน้อยจากระดับ 9.2% ในเดือน ก.ย.
ขณะที่อัตราผลผลิตภาคอุตสาหกรรมประกาศออกมาขยายตัวได้ 5.9% จากเดิมที่คาดว่าจะชะลอตัวจากเดิมในเดือน ก.ย. ที่ 5.8% แต่นักวิเคราะห์ได้กล่าวเตือนว่า การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมอาจเป็นเพียงในระยะสั้นเท่านั้น หากสหรัฐฯยังคงกดดันการค้ากับจีนด้วยการปรับขึ้นภาษี
· น้ำมันดิบชะลอการปรับลงหลังจากที่ร่วงลงไปกว่า 7% เมื่อคืนนี้ ท่ามกลางภาวะอุปทานที่เพิ่มมากขึ้นและอุปสงค์ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลง 17 เซนต์ คิดเป็น -0.3% ที่ระดับ 55.52 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปรับลง 9 เซนต์ ที่ระดับ 65.38 เหรียญ/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวลงมากที่สุดนับจากที่ไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ต.ค. และกลายเป็นหนึ่งในสินค้าท่ี่ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014