• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561

    9 พฤศจิกายน 2561 | Economic News

• ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรหลังจากที่เฟดคงดอกเบี้ย และมีการระบุถึงงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและความแข็งแรงทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะยังส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือนธ.ค.ได้ โดยจะเห็นว่าถ้อยแถลงผลประชุมเฟดมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเศรษฐกิจเล็กน้อยนับจากที่ประชุมในเดือนก.ย. ขณะที่เงินเฟ้อยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับเป้าหมาย 2% ขณะที่อัตราว่างงานลดลง และความเสี่ยงต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะสมดุล

ดัชนีดอลลาร์เช้านี้อยู่ที่ 96.63 จุด หลังจากที่ปรับขึ้นไปประมาณ 0.66% เมื่อวานนี้ ขณะที่เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group บ่งชี้ว่าเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย75% ในเดือนธ.ค. โดยเป็นการทยอยปรับขึ้นอีก 0.25%

ค่าเงินยูโรวันนี้ทรงตัวที่ 1.1366 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่เมื่อวานปรับอ่อนค่าลงไปที่ 0.54% ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับข่าวเชิงลบของยุโรป โดยคณะกรรมาธิการยุโรปมีการคาดการณ์กันว่า เศรษฐกิจอิตาลีอาจชะลอตัวลงมากขึ้นในอีก 2 ปี ซึ่งเป็นการชะลอตัวมากกว่าที่อิตาลีประเมินไว้ และทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณของอิตาลีเพิ่มสูงกว่าที่ประเมินไว้

• ประเด็นสำคัญของประชุมเฟดเดือนพ.ย. พบว่า เฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยในกรอย 2-2.25% และไม่มีการระบุถึงการทรุดตัวของตลาดการเงินตั้งแต่ช่วงกลางเดือนต.ค. ที่ผ่านมาในแถลงการณ์ประชุมใดๆ แต่มีการระบุถึงอัตราคนว่างงานที่ปรับตัวลดลงนับตั้งแต่การประชุมในเดือนก.ย. โดยจะเห็นได้จากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯที่เผยว่าอัตราว่างงานปรับตัวลงแตะระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ธ.ค. ที่ 1969

นอกจากนี้ ในรายงานยังมีการกล่าวถึงการเติบโตของภาคการลงทุนในธุรกิจว่ามีการชะลอตัวลงหรือขยายตัวได้ปานกลางหลังจากที่ปรับแข็งแกร่งในช่วงต้นปีนี้

อย่างไรก็ดี นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อ PBS ในประเด็นความผันผวนปรับตัวลงของตลาดการเงินในช่วงเดือนต.ค. ซึ่งเขาตอบว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะยังมีอยู่ด้วยการค่อยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับปกติ

• รายงานจาก the London Times ระบุว่า สหภาพยุโรปต้องการให้ตั้งจุดตรวจภาษีในบริเวณทะเลระหว่างประเทศไอร์แลนด์และอังกฤษ หากเกิดกรณี No-deal Brexi

อย่างไรก็ตาม นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ระบุว่าในจดหมายว่า เธอจะพยายามทุกวิถีทางไม่ให้การเจรจาจบลงด้วยกรณีดังกล่าว เพราะจะเปรียบเสมือนการแบ่งแยกสหราชราชอาณาจักรออกจากกันโดยสิ้นเชิง

• นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวเสริมความเชื่อมั่นให้กับบรรดาธุรกิจภาคเอกชนในประเทศ หลังจากภาคเอกชนสูญเสียความมั่นใจในเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการลดเพดานเงินกู้ของภาคธนาคารเพื่อควบคุมระดับหนี้สินในประเทศ และความกังวลว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับรัฐวิสาหกิจมากกว่าภาคเอกชน

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งนายจิ้นผิง ก็ได้แสดงต้องการที่จะร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าวกับสหรัฐฯ ขณะที่นักวิเคราะห์ได้กล่าวว่า หากแก้ไขปัญหานี้ จะสามารถช่วยหนุนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการจ้างงานขึ้นได้อย่างมาก

• ผลสำรวจจาก Reuters พบว่า บรรดาผู้ประกอบการในญี่ปุ่นเกือบครึ่งหนึ่งคาดการณ์ว่าการเจรจาระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯจะสามารถช่วยกระตุ้นยอดส่งออกสู่สหรัฐฯได้ แม้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเคยกล่าวว่าต้องการลดยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯกับญี่ปุ่นก็ตาม

อย่างไรก็ตาม บรรดาบรรดาผู้ประกอบการอีกครึ่งหนึ่งกลับมีความความกังวลว่า การเจรจาอาจไปนำสู่การที่สหรัฐฯปรับขึ้นระดับภาษีสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นหรือเพิ่มข้อจำกัดด้านการส่งออกอื่นๆ

ทั้งนี้ หลังจากที่ผ่านพ้นการเลือกตั้งกลางวาระของสหรัฐฯ นายทรัมป์ได้แสดงความหวังว่า เขาจะสามารถร่วมมือกับพรรคเดโมแครตที่เป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากในสภาล่าง ในการร่วมกดดันให้ญี่ปุ่นปรับรูปแบบการค้ากับสหรัฐฯให้มีความยุติธรรมกับสหรัฐฯมากขึ้น

• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงเกือบ 2% ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่จับตาภาวะอุปทานน้ำมันดิบตลาดโลก ที่อาจเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่หลายๆฝ่ายคาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ ตลาดให้ความสนใจไปยังระดับการผลิตน้ำมันสหรัฐฯที่ปรับขึ้นเป็นประวัติการณ์ และสัญญาณการผลิตน้ำมันของอิรัก,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอินโดนีเซียที่อาจมีการเพิ่มกำลังการผลิตเร็วขึ้นเกินคาดในปี 2019 และความกังวลดังกล่าวได้ฉุดการฟื้นตัวของราคาน้ำมันที่ได้รับแรงหนุนในช่วงต้นตลาดจากยอดนำเข้าน้ำมันของจีนที่ยังคงอยู่ระดับสูงเป็นระวัติการณ์ โดยปรับขึ้นอีก 9.61 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนต.ค. คิดเป็นเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับปีก่อน

น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 1.42 คิดเป็น -1.97% ที่ระดับ 70.65 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนส.ค. ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดลง 1 เหรียญ หรือคิดเป็น -1.6% ที่ระดับ 60.67 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 14 มี.ค.

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com