• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561

    2 พฤศจิกายน 2561 | Economic News

·       ความต้องการสินทรัพย์ Safe-Haven อย่างค่าเงินเยนปรับลดลลง ขณะที่ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ลดน้อยลงไป และตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นจึงเห็นได้ถึงการฟื้นตัวขึ้นของตลาดหุ้นเอเชีย

ข่าวเกี่ยวกับการโทรศัพท์พูดคุยกันระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีจีน ได้จุดประกายความหวังให้แก่ตลาดว่าจะเห็นความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศลดน้อยลง และยังมีข่าวเสริมเข้ามาอีกว่า ทางทีมบริหารของนายทรัมป์กำลังร่างข้อตกลงการค้าที่เป็นไปได้กับทางจีนอยู่

ค่าเงินเยนแข็งค่าลงมา 0.3% ที่ระดับ 113.03 เยน/ดอลลาร์ ขณะท่ี่ภาพรวมมีการอ่อนค่าไปทำระดับสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์บริเวณ 113.385 เยน/ดอลลาร์ ก่อนทราบรายงานการจ้างงานสหรัฐฯคืนนี้

ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.5% ที่ระดับ 0.7242 ดอลลาร์/ยูโร

สำหรับดัชนีดอลลาร์ที่ปรับแข็งค่าขึ้นไปได้บริเวณ 97 จุด เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับการแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ก.พ. ปี 2017 จากข้อมูลเศรษฐกิจที่หนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับขึ้น และดอลลาณ์ก็ปรับขึ้นตาม ขณะที่ภาพรวมวันนี้ดัชนีดอลลาร์เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทรงตัวที่ 96.321 จุด หลังจากที่ร่วงลงไปเกือบ 0.9% ในคืนนี้ อันได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินปอนด์

ค่าเงินปอนด์ได้รับปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ยังคงดอกเบี้ยแต่มีสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วขึ้นหากข้อตกลง Brexit เป็นไปอย่างราบรื่น

ค่าเงินปอนด์ทรงตัวที่ 1.2998 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่แข็งค่าขึ้นไป 1.8% วานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 1 วันนับตั้งแต่เม.ย. ปี 2017

ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.05% ที่ระดับ 1.1414 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ปรับขึ้นไป 0.9% ในคืนวันพฤหัสบดี และเข้ากดดันค่าเงินดอลลาร์

ค่าเงินหยวนปรับแข็งค่าลงมาประมาณ 0.2% ทำระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์บริเวณ 6.8970 หยวน/ดอลลาร์ ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาความกังวล Trade War ได้ส่งผลให้ค่าเงินหยวนทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 22 เดือน ที่ระดับ 6.9800 หยวน/ดอลลาร์ในช่วงกลางสัปดาห์นี้

·        การประกาศตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯในค่ำคืนนี้ ถูกคาดการณ์ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯจะสามารถมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราค่างจ้างจะสามารถขยายตัวด้วยอัตราที่มากที่สุดในรอบ 9 ปีครึ่ง จึงอาจเป็นการหนุนกระแสคาดการณ์ให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ได้อีกครั้ง


โดยอัตราว่างงานถูกคาดการณ์ว่าจะประกาศออกมาทรงตัวที่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 49 ปี และหากอัตราว่างงานถูกประกาศออกมาตามนั้นจริง จะเป็นการช่วยผ่อนคลายความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจชะลอตัวลงหลังตัวเลขภาคอสังหาฯและการใช้จ่ายที่ประกาศออกมาอ่อนแอก่อนหน้านี้

ขณะที่การจ้างงานนอกภาคการเกษตรรวบรวมโดยภาครัฐบาล ถูกคาดการณ์ว่าจะประกาศออกมาเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่งในเดือน ต.ค. จากเดิมที่เพิ่มขึ้น 134,000 ตำแหน่งในเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของตำแหน่งงานที่ชะลอตัวลง เนื่องจากผลกระทบจากพายุเฮอริเคนฟลอเรนซ์ ทำให้บรรดาภัตตาคารและร้านค้าปลีกมีการจ้างงานที่น้อยลง

ด้านอัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายช.ม. ถูกคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.2% ในเดือน ต.ค. หลังขยายตัวได้ 0.3% ในเดือน ก.ย. ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมการขยายตัวของอัตราค่าจ้างรายปี ขยายตัวได้ที่ระดับ 3.1% ซึ่งเป็นระดับการขยายตัวที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. ปี 2009 จากเดิมที่ 2.8% ในเดือน ก.ย.

·      รายงานจาก DailyFX ระบุว่า ประมาณการณ์โอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือนธ.ค. ลดลงจากระดับ 80% สู่ระดับ 70.8%

·        รายงานจาก South China Morning Post ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการจัดรับรองนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เพื่อร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกันในวันที่ 1 ธ.ค. ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า ภายหลังการประชุม G20’

นอกจากนี้นายทรัมป์ ได้ระบุว่า นายจิ้นผิง ต้องการทำข้อตกลงการค้าอย่างยุติธรรม และเราต้องสร้างข้อตกลงที่เหมาะสม

·       Bloomberg เผยแหล่งข่าวใกล้ชิด ระบุว่า นายทรัมป์ ให้ความสนใจที่จะหาทางบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีนในการประชุม G20 ช่วงปลายเดือนนี้ และมีการเรียกร้องให้ทีมบริหารเริ่มต้นร่างข้อตกลงที่มีความเป็นไปได้

หนึ่งในแหล่งข่าว กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่นายทรัมป์เข้มงวดคือความเป็นไปได้ของข้อตกลงเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่านายทรัมป์จะสามารถผ่อนคลายได้มากขึ้นตามข้อเรียกร้องของจีนด้วยหรือไม่

·       รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศจีน ยืนยันว่า การเจรจาผ่านโทรศัพท์ระหว่างนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการพัฒนาไปในทิศทางเชิงบวกจริ

·       รัฐบาลของนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กำลังเขียนร่างนโยบายที่จะเปิดรับแรงงานจากต่างประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจญี่ปุ่นมากขึ้น เพือเป็นการช่วยเหลือปัญหาขาดแคลนแรงงานของประเทศ

ขณะที่นายอาเบะยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่บังคับปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มภายในปีหน้า หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงอ่อนแอ จึงเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลญี่ปุ่นอาจพิจารณาเลื่อนการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นครั้งที่ 3

·       ธนาคารกลางจีนปรับค่าเงินหยวน 0.43% สู่ระดับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ 28 ส.ค. ที่ 6.9371 หยวน/ดอลลาร์

·       รายงานจากสถาบัน IfW เปิดเผยว่า เศรษฐกิจเยอรมนีมีแนวโน้มจะหดตัวลงประมาณ 0.3% ในไตรมาสที่ 3 นี้ อันได้รับผลมาจากการปรับตัวลงของภาคการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ท่ามกลางผลกระทบจากระดับมลภาวะครั้งใหม่ที่รู้จักกันในนาม WLTP แต่ก็มีแนวโน้มจะเห็นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 จะปรับตัวขึ้นได้

·     ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ปรับตัวลดลงในช่วงตลาดก่อนหน้า ท่ามกลางแรงหนุนจากสัญญาณเชิงบวกในการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ-จีน ที่อาจช่วยให้ภาวะ Trade war ผ่อนคลายลงไป จึงช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับปริมาณอุปสงค์ที่อาจชะลอตัวลง

โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.2% จากระดับปิดขึ้นมาที่บริเวณ 73.04 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 0.1% จากระดับปิดขึ้นมาที่บริเวณ 63.76 เหรียญ/บาร์เรล

·      วิเคราะห์ราคาน้ำมันทางเทคนิค : ราคาน้ำมันย่อตัวใกล้ระดับ $63.00 และมีเป้าหมายต่อไปที่ระดับต่ำสุดของเดือน มิ.ย.

FX Street ระบุว่า ราคาน้ำมันยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน และเมื่อคืนนี้ยังเผชิญกับแรงเทขายจนปรับตัวลดลงไปใกล้บริเวณ $63.00 ดังนั้น ทิศทางหลักของราคาจึงยังเป็นแนวโน้มทิศทางขาลง โดยมีเป้าหมายต่อไปที่ระดับ $63.00 และ $61.81 ที่เป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 6 เม.ย.

ทิศทางหลัก: ขาลง

แนวต้าน: 64.00, 64.40, 65.00

แนวรับ: 63.59, 63.00, 61.81


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com