• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561

    2 พฤศจิกายน 2561 | Economic News

• ดัชนีดอลลาร์หลังไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 16 เดือนที่ 97.2 จุด เมื่อวานนี้ก็ปรับตัวลง 0.88% ที่ระดับ 96.27 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์

ค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่ามากที่สุดระดับในรอบ 18 เดือน ตามรายงานที่ว่าอังกฤษและอียูใกล้บรรลุข้อตกลงทางการเงิน ขณะที่บีโออียังคงนโยบายดอกเบี้ยแต่อนาคตมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้หากว่าข้อตกลง Brexitนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น

ค่าเงินปอนด์ปรับขึ้น +1.97% ซึ่งเป็นระดับที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ 18 เม.ย. ขณะที่ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น +0.87%

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีนมีความคิดเห็นเชิงบวกในทำนองเดียวกันเมื่อวานนี้เกี่ยวกับการหาทางแก้ไขปัญหาขัดแย้งทางการค้าก่อนที่ทั้งสองจะพบกันในช่วงปลายเดือนพ.ย. ที่ประเทศอาร์เจนตินาร์ในการประชุม G20

นายทรัมป์ ระบุทางทวิตเตอร์ว่า ข้อขัดแย้งทางการค้ากับจีนมีแนวโน้มจะเป็นไปด้วยดี และเขามีแผนที่จะพบกับผู้นำจีนในการประชุม G20 หลังจากที่ทั้งสองมีการพูดคุยกันค่อนข้างดีมากทางโทรศัพท์

ขณะที่นายสี กล่าวกับสำนักข่าว CCTV กล่าวแสดงความคาดหวังที่จีนกับสหรัฐฯจะสามารถสนับสนุนความสัมพันธ์ร่วมกันได้ และเขามีความตั้งใจที่จะเข้าพบกับนายทรัมป์ในการประชุม G20 เช่นกัน โดยที่ทั้งสองน่าจะบรรลุข้อตกลงทางด้านการค้าร่วมกัน

• การเลือกตั้งกลางวาระของสหรัฐฯจะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 6 พ.ย. ที่จะถึงนี้ โดยแบบสำรวจเบื้องต้นจาก YouGov พบว่าประชาชนวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐฯประมาณ 47% ให้การสนับสนุนพรรคเดโมแครต ขณะที่อีก 43% ให้การสนับสนุนพรรครีพับลิกัน

ขณะที่แบบสำรวจอีกฉบับหนึ่งพบว่ามีประชาชนวัยผู้ใหญ่เพียง 43% ที่ให้การสนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ทางสถาบัน Harvard Kennedy School ได้ทำแบบสำรวจเกี่ยวกับการเลือกตั้งกลางวาระ พบว่าเยาวชนในสหรัฐฯอายุระหว่าง 18-29 ปี ไม่ให้การสนับสนุนตัวนายทรัมป์เช่นเดียวกัน ขณะที่เยาวชนดูจะให้การสนับสนุนนโยบายเชิงพัฒนาอย่างยั่งยืนมากกว่า

ทางแบบสำรวจจาก Reuters คาดการณ์ว่า พรรคเดโมแครตจะสามารถครอบครองที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มได้ 23 ที่นั่ง ดังนั้นทางพรรคเดโมแครตจึงมีแนวโน้มที่จะครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่พรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯมีการสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อ นายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซูเอล่า ซึ่งเป็นพรรคซ้ายสุดเพิ่มขึ้น ผ่านมาตรการคว่ำบาตรฉบับใหม่ที่จะเป็นขัดขวางยอดส่งออกทองคำของประเทศอเมริกาใต้

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง หลังจากที่เขาพยายามเชื่อมโยงการก่ออาชญากรรมเข้ากับนโยบายของพรรคเดโมแครต โดยนายทรัมป์ถูกตำหนิว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติและเป็นการใส่ความที่รุนแรงที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายทรัมป์ได้ออกโฆษณาชวนเชื่อที่มีการนำคลิปวีดีโอของผู้อพยพเข้าประเทศอย่างผิดกฏหมาย มาตัดต่อเข้ากับข้อความว่า “มีใครอีกบ้างที่เดโมแครตปล่อยให้เข้ามา” (“Who else would Democrats let in?” ) ก่อนที่จะปิดวีดีโอด้วยข้อความว่า “Make America Great Again” ที่เป็นสโลแกนนายทรัมป์

• ผู้นำภาคธุรกิจในยุโรป กล่าวว่า นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ต้องหาข้อตกลง Brexit ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะความไม่แน่นอนกำลังจะทำลายภาคการลงทุนรวมทั้งการขยายตัวด้วย

• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า บรรดาธนาคารชั้นนำในยุโรปจะมีการศึกษาและทดสอบ Stress Test ล่าสุดในวันศุกร์นี้ ซึ่งอาจเห็นการเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินทุนบางส่วนหรือการปรับลดสินทรัพย์ถือครอง ท่ามกลางอิตาลีที่ถูกคาดว่าจะมีการถูกพิจารณาอย่างละเอียด

• ผู้บริหารจาก JP Mogan กล่าวกับสำนักข่าว Handelsblatt ของเยอรมนี โดยระบุว่า มีโอกาสเล็กน้อยที่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึข้นของอิตาลีจะส่งผลให้เกิดวิกฤตตราสารหนี้ในยูโรโซน

• ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯปิดปรับลงเกือบ 3% ท่ามกลางสัญญาณน้ำมันดิบที่แตะระดับต่ำสุดที่ไม่เห็นมาตั้งแต่เดือนเม.ย. ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะอุปสงค์ทั่วโลกจากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันที่มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิต

ผลผลิตน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ รวมทั้งรัสเซียยังคงทำระดับเป็นประวัติการณ์ ควบคู่กับการปรับขึ้นของประเทศสมาชิกในกลุ่มโอเปก และนั่นส่งผลกดดันต่อทิศทางราคาน้ำมัน

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก จากข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังคงไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ และกำลังเริ่มส่งผลกระทบต่อกลุ่มตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่

ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 2.15 เหรียญ คิดเป็น +2.9% ที่ระดับ 72.89 เหรียญ/บาร์เรล ขณะเดียวกันน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 1.62 เหรียญ คิดเป็น +2.5% ที่ระดับ 63.69 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 9 เม.ย.

• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า การออกนโยบายคว่ำบาตรอิหร่านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งในด้านการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ ขีปนาวุธ น้ำมัน และกิจกรรมภายในประเทศ เป็นการกดดันให้อิหร่านยอมหันกลับมาเจรจาร่วมกับสหรัฐฯ แม้จะไม่มีความชัดเจนนายทรัมป์จะมีความยืดหยุ่นในการเจรจาให้กับอิหร่านมากแค่ไหนก็ตาม


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com