• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2561

    31 ตุลาคม 2561 | Economic News


·         ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นทำระดับสูงสุดรอบ 16 เดือน เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางสัญญาณทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังขยายตัวได้เป็นอย่างดี  โดยดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้น 0.4% ที่ระดับ 97.004 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ 30 มิ.ย. ปี 2017 บริเวณ 97.02 จุด

·         ทาง Conference Board เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯปรับขึ้นเกินคาดแตะ 137.9 จุดในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ก.ย. ปี 2000  ขณะที่เดือนก่อนหน้าถูกปรับทบทวนลงมาที่ 135.5  จุด

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯปรับขึ้นทำระดับสูงสุดรอบ 18 ปีในเดือนต.ค. เพราะได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ รวมทั้งกระแสคาดการณ์ที่ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเป็นไปอย่าแข็งแกร่งจนถึงช่วงต้นปี 2019


แต่การอ่อนตัวของตลาดที่อยู่อาศัยและเงื่อนไขของตลาดการเงินก็ดูจะมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยจะเห็นได้จากราคาบ้านชะลอตัวลงในเดือนส.ค. ขณะที่อัตราค่าจดจำนองบ้านเพิ่มสูงขึ้นจึงยิ่งกดดันอุปสงค์ของตลาดที่อยู่อาศัย


·         การเลือกตั้งของสภาคองเกรสที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการกล่าวว่า เขาจะพยายามที่จะยกเลิกสิทธิความเป็นพลเมืองสำหรับเด็กที่เกิดในสหรัฐฯแต่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ รวมทั้งการอพยพอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเขายังคงพยายามที่จะผลักดันการปฏิรูปกฎหมายผู้อพยพให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

·         สถาบันจัดอันดับ Standard & Poor’s ระบุว่า ข้อตกลง Brexit แบบ No-deal มีแนวโน้มจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยตามวิกฤตทางการเงินระดับโลก


·         รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ เปิดเผยว่า อังกฤษมีการจ้างพนักงานด้านการทูตกว่า 1,000 ราย และมีแนวโน้มจะขยายจำนวนออกไปยังหลายๆประเทศทั่วโลกหลังจากที่เกิด Brexit


·         ธนาคารกลางแคนาดา กล่าวย้ำถึงการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นที่อาจช่วยให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ และแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางที่จะถอดถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากทิศทางการขยายตัวที่เป็นไปด้วยดี


·         ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะคงนโยบายการเงินในการประชุมวนนี้ และมีสัญญาณว่าจะยังคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้เช่นกัน ท่ามกลางภาวะการขัดแย้งทางการค้าระดับโลกรวมทั้งตลาดการเงินที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ


·         ผลการประกาศข้อมูลการเติบโตภาคการผลิตจีนในเดือนต.ค. สะท้อนว่าทางประเทศได้รับผลกระทบจาก Trade War แต่ข้อมูล PMI ล่าสุดออกมาแย่กว่าคาดที่ระดับ 50.2 จุด ขณะที่เดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 50.8 จุด


อย่างไรก็ดี การที่ดัชนี PMI ยังคงยืนได้เหนือระดับ 50 จุด ยังสะท้อนถึงการขยายตัว แต่หากหลุดลงมาจะเข้าสู่ภาวะหดตัว ขณะที่เดือน ต.ค. ถือเป็นเดือนแรกที่แผนภาษีของสหรัฐฯมีผลเต็มรูปแบบ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างประกาศขึ้นภาษีซึ่งกันและกันไปเมื่อ 24 ก.ย.

·         ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงกว่า 1ท่ามกลางสัญญาณการเพิ่มขึ้นของภาวะอุปทานน้ำมันดิบ และความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันที่อาจร่วงลงเพราะได้รับผลกระทบจาก Trade War ของสหรัฐฯและจีน

น้ำมันดิบ Brent ปรับลง 1.43 เหรียญ คิดเป็น -1.9% ที่ระดับ 75.91 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมัน WTI ปรับลง 86 เซนต์ คิดเป็น -1.3% ที่ระดับ 66.18 เหรียญ/บาร์เรล


โดยช่วงต้นตลาดน้ำมันดิบ Brent ทำตัวระดับต่ำสุดที่ 75.09 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 24 ส.ค. ขณะที่ WTI ปรับตัวลงแตะ 65.33 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 17 ส.ค. ขณะที่กลุ่มนักลงทุนน้ำมันรอคอยรายงานสต็อกน้ำมันดิบของรัฐบาลสหรัฐฯที่จะเปิดเผยในวันพุธนี้


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com